Quantcast
Channel: Convertible – MINI-TH.
Viewing all 37 articles
Browse latest View live

พาชมบูธ MINI ในงาน Bangkok International Motor Show 2017

$
0
0

ยิ่งใหญ่กับการเปิดตัวครั้งแรกอย่างเป็นทางการในไทย ของ MINI Countryman โฉมใหม่ ที่มาจัดแสดงในงาน Bangkok International Motor Show 2017 และรถยนต์มินิอีกหลากหลายรุ่น ทั้ง MINI John Cooper Works Clubman, Convertible และ Hatch

มินิ ประเทศไทย เปิดฉากงานมอเตอร์โชว์ 2017 ปีนี้ ด้วยคอนเซ็ปต์ ADD STORIES ของ The all-new MINI Countryman โฉมใหม่ล่าสุด นำมาจัดแสดงจำนวน 3 คัน ทั้งสี Island Blue และ สี Chestnut ซึ่งเป็นสีใหม่ทั้งสองสีของ MINI Countryman

MINI Countryman เปิดราคาขายเริ่มต้นตั้งแต่รุ่น MINI Cooper Countryman ที่ราคา 2,339,000 บาท, รุ่น MINI Cooper S Countryman ราคา 2,699,000 บาท และรุ่นท็อปออปชั่นอย่าง MINI Cooper S Hightrim Countryman ราคา 2,999,000 บาท

อีกหนึ่งรุ่นที่เป็นไฮไลต์ของงานนี้เช่นกัน คือการเปิดตัวครั้งแรกของ MINI John Cooper Works Clubman ที่รอบนี้มินิ ประเทศไทย เลือกเอาสีแดง Chili Red มาจัดแสดง ตัดกับหลังคาสีดำ และชุดแต่งของ JCW รอบคันอย่างดุดัน เปิดราคา 3,588,000 บาท

MINI Hatch รุ่นพิเศษอย่าง MINI Seven Edition ก็ยังถือเป็นตัวชูโรงของ MINI ในโฉมแฮตช์ดั้งเดิมอยู่เช่นเคย กับสีน้ำเงิน Lapisluxury Blue จอดโดดเด่นอยู่หน้าบูธ เคียงคู่กับ MINI John Cooper Works ในโฉมแฮตช์ ที่มาในสีเขียว Rebel Green ตัดกับหลังคาสีแดงอย่างโดดเด่น

ภายใน ยังมี MINI Hatch รุ่น 5 ประตู สีส้ม Volcanic Orange สวยสดใสมาจัดแสดง และให้ทดลองขึ้นไปนั่ง ขึ้นไปลองออปชั่นต่างๆ ได้อย่างเต็มที่

สำหรับแฟนๆ เปิดประทุน ก็ยังมีตัวเลือกของ MINI Convertible มาจัดแสดงเช่นกัน ซึ่งตอนนี้มินิ ประเทศไทย ทำตลาดเฉพาะรุ่น MINI Cooper S Convertible เพียงรุ่นเดียว มาในสี Caribbean Aqua ตัดกับหลังคาแคนวาสลายธงชาติอังกฤษ Union Jack

อีกด้านหนึ่ง เป็นมุมขายสินค้าที่ระลึกของ MINI ที่มักจะมีสินค้าน่ารักๆ มาจำหน่ายกันแบบครบถ้วน ทั้งเสื้อผ้าหลากหลายรูปแบบ แว่นกันแดด เข็มกลัด โมเดลรถมินิ รองเท้า กระเป๋า ฯลฯ ซึ่งหากมาซื้อในงานก็จะได้ราคาพิเศษที่หาไม่ได้จากที่อื่นอีกด้วย

รถยนต์มินิทุกรุ่นในงานมอเตอร์โชว์ จะมีแคมเปญพิเศษเมื่อจองและออกรถตามเงื่อนไขที่กำหนดด้วยนะครับ แฟนๆ มินิที่สนใจ สามารถมาเยี่ยมชมบูธ MINI ได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 9 เมษายน 2017 ที่อิมแพ็ก เมืองทองธานี


MINI เอาใจคนชอบทำอาหาร เปิดตัวชุดแต่ง John Cooker Works Package สำหรับมินิเปิดประทุน

$
0
0

มินิ เอาใจคนชอบทำอาหาร เปิดตัวชุดแต่ง John Cooker Works Package สำหรับรถยนต์ MINI Convertible แปลงโฉมรถยนต์มินิเปิดประทุน ให้เป็นร้านขายอาหารแบบเคลื่อนที่ได้ทันที

ตั้งแต่เดือนเมษายน 2017 เป็นต้นไป ลูกค้า MINI Convertible จะสามารถเลือกสั่งชุดแต่ง John Cooker Works Package เพิ่มเติมได้ (คนละอันกับ John Cooper Works นะ) โดยชุดแต่งนี้จะประกอบไปด้วยแท่นไม้โอ๊กสำหรับจัดเตรียมอาหาร ติดตั้งอยู่เหนือที่นั่งของรถยนต์ มีเตาไฟฟ้าประกอบอาหารแบบนำความร้อน (induction cooker) และแปลงช่องเก็บสัมภาระขนาด 160-215 ลิตร ของรถยนต์ MINI Convertible ให้กลายเป็นตู้เย็นสำหรับเก็บอาหารสด โดยจะมีแบตเตอรี่แรงดันสูง ใช้เทคโนโลยี Natural Food Nanotechnology (NFN) ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ สามารถชาร์จไฟจากพลังงานที่เหลือจากการเบรก และใช้พลังงานจากเศษอาหารที่หลงเหลือจากการปรุง มาหมุนเวียนเพื่อใช้งานใหม่

แท่นไม้ ที่ติดตั้งเหนือที่นั่งของรถยนต์ ทำมาจากไม้โอ๊ก จากเมือง Cornwall ประเทศอังกฤษ มีน้ำหนักเบา สามารถพับได้ และกางออกเพื่อใช้เป็นแท่นสำหรับประกอบอาหาร ปลอดภัยทั้งอาหารร้อนและอาหารเย็น ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับอาหารได้หลากหลายประเภท เช่น อาหารญี่ปุ่น ซูชิ อาหารเพื่อสุขภาพ ขนมหวาน ไอศครีม หรือ น้ำผลไม้ปั่น เป็นต้น

ขณะติดตั้ง จำเป็นต้องเอนเบาะคู่หน้าลง จึงจะใช้งาน John Cooker Works Package นี้ได้ โดยตำแหน่งของที่นั่งคนขับ จะเป็นตำแหน่งที่ใช้ยืนประกอบอาหาร และ ขายอาหาร ซึ่งหากกรณีที่อากาศเปลี่ยนแปลงกะทันหัน เช่น ฝนตก ก็จะสามารถปิดหลังคาได้ทันทีโดยไม่ต้องนำแท่นประกอบอาหารออก และใช้เวลาในการปิดหลังคาเพียง 18 วินาทีเท่านั้น

“ชุดแต่ง MINI John Cooker Works ยังมาพร้อมกับฝาครอบกระจกมองข้าง และ ฝาปิดโลโก้ที่ล้อ สีเหลือง Citrus Yellow เพื่อเสริมบรรยากาศความเป็นร้านขายอาหารเคลื่อนที่ สดใสตามสไตล์มินิ และสติ๊กเกอร์คาดตกแต่งตัวรถ จะสามารถเลือกได้ 2 สี คือสี Chilli Red และ Berry Blue” Tam Bree จากฝ่ายออกแบบของมินิกล่าว

“MINI Convertible ที่เสริมชุดแต่ง John Cooker Works จะกลายเป็นร้านขายอาหารเคลื่อนที่ ที่มีขนาดเล็กและเอนกประสงค์ที่สุดในโลก” – Adam Zapple หัวหน้าทีมพัฒนาของ MINI Special Vehicles กล่าว

ชุดแต่ง MINI John Cooker Works Package สำหรับ MINI Convertible เปิดราคาขายอยู่ที่ €1,959.00 / $ 1,959.00 / £ 1,959.00 ตามแต่ประเทศ สามารถสั่งซื้อได้จากตัวแทนจำหน่ายมินิอย่างเป็นทางการได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

ผมก็ได้แต่หวังว่าคงไม่มีแฟนมินิเผลอไปสั่งซื้อจริงๆ นะครับ … สุขสันต์วัน April Fools Day แด่แฟนๆ มินิทุกท่านครับ

MINI ปรับปรุงหน้าจอในรถเป็นแบบใหม่ + เตรียมรองรับ Apple CarPlay

$
0
0

MINI ประกาศปรับปรุงหน้าจอในรถยนต์, หน้าจอหลังพวงมาลัย และ หน้าจอ Head-up Display เป็นแบบใหม่ พร้อมเตรียมการรองรับ Apple CarPlay ที่จะมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเข้ากับหน้าจอของรถยนต์ในอนาคต

สำหรับรถยนต์ MINI ที่ผลิตหลังเดือนกรกฎาคม 2017 จะถูกปรับปรุงในส่วนของหน้าจอภายในรถยนต์ใหม่ และเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ โดยมีรายละเอียด ดังนี้

  • หน้าจอบริเวณหลังพวงมาลัย และหน้าจอ Head-up Display ในเวลากลางคืน จะถูกปรับการแสดงผลตัวเลขและตัวอักษรสีจากสีส้ม มาเป็นสีขาว เพื่อการมองเห็นที่ชัดเจนมากขึ้น

  • ค่าระดับความสูงของหน้าจอ Head-up Display, ตำแหน่งของกระจกมองข้างไฟฟ้า และ ตำแหน่งของที่นั่งไฟฟ้า (เฉพาะรุ่นที่มีเบาะไฟฟ้า) จะถูกบันทึกเป็นส่วนหนึ่งของค่าโปรไฟล์ในกุญแจรถยนต์
  • ไฟแสดงระดับน้ำมันคงเหลือ ด้านขวาของหน้าปัดความเร็ว จะถูกปรับเปลี่ยนเป็นแบบใหม่ ที่แสดงผลได้แม่นยำกว่าเดิม (และสวยกว่าเดิมด้วยนะ)

  • ประกาศการเตรียมการรองรับ Apple CarPlay ในรถยนต์ MINI Clubman และ MINI Countryman ซึ่งจะทำให้นำข้อมูลจาก iPhone มาแสดงผลบนหน้าจอของรถยนต์ได้หลากหลายส่วน เช่น แผนที่นำทาง, คอนแทค, ข้อความ SMS, ตารางนัดหมาย รวมถึงเพลงจาก iTunes และ Apple Music

  • เปลี่ยนตำแหน่งของปุ่มปรับโหมดการขับขี่ (GREEN / NORMAL / SPORT) จากเดิมที่อยู่บริเวณฐานเกียร์ มาเป็นสวิตช์อยู่บริเวณแผงปรับแอร์ (ด้านขวาของปุ่ม START) ซึ่งเคยเป็นตำแหน่งของการปรับโหมดการขับขี่ในมินิรุ่นก่อนหน้าตามสไตล์ของมินิรุ่นดั้งเดิม
  • เพิ่มฟีเจอร์ “เตือนผู้ขับขี่”​ หรือ Alertness Assistant สำหรับการเดินทางระยะไกลๆ หากระบบตรวจจับได้ว่า มีพฤติกรรมการขับขี่ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะการเสียสมาธิขณะขับขี่ เช่นมีอาการง่วง หรือขับขี่ออกนอกเลนอย่างไม่ตั้งใจ ระบบจะทำการเตือนผ่านลำโพงของตัวรถ และแสดงผลบนหน้าจอว่า “Tea Time” หรือเตือนให้ผู้ขับขี่ควรหยุดพักได้แล้ว – โดยจะมีในรถยนต์ MINI รุ่น Hatch 3 ประตู, 5 ประตู และ MINI Convertible

การปรับปรุงใหม่ครั้งนี้ เป็นการปรับปรุงภายในรถยนต์เท่านั้น ไม่มีผลกับเครื่องยนต์และระบบช่วงล่าง จะเริ่มกับรถยนต์มินิที่ทำการผลิตเดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป ซึ่งคาดว่าจะมีทะยอยมีผลกับรถยนต์มินิที่จำหน่ายในประเทศไทยช่วงปลายปีนี้ครับ (แล้วแต่รุ่น และ แล้วแต่สต๊อกของแต่ละโมเดลด้วยเช่นกัน)

เผยภาพเกียร์ DCT ใหม่ (Dual Clutch) ที่จะใช้ใน MINI รุ่นถัดไป

$
0
0

เว็บไซต์ MotoringFile เผยภาพเกียร์ DCT ของ MINI ที่เตรียมใช้ใน MINI Hatch รุ่น LCI หรือว่ารุ่นปรับปรุงโฉม ซึ่งจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า พร้อมเผยรายละเอียดมีทั้งรุ่น 7 สปีด และ 8 สปีด

MINI DCT 7-Speed

MINI จะเริ่มใช้เกียร์คลัตช์คู่ 7 สปีด นี้ ในโฉมของ MINI Hatch ทั้งรุ่น 3 ประตู (F56), 5 ประตู (F55) และรุ่นเปิดประทุน (F57) ก่อน ซึ่งจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงมาใช้เกียร์ DCT ตามกำหนดดังนี้

  • MINI One – ตั้งแต่การผลิตในเดือน พ.ย. 17
  • MINI Cooper – ตั้งแต่การผลิตในเดือน มี.ค. 18
  • MINI Cooper S – ตั้งแต่การผลิตในเดือน มี.ค. 18
  • MINI Cooper D – ตั้งแต่การผลิตในเดือน พ.ย. 17

MINI DCT 8-Speed

ส่วนเกียร์คลัตช์คู่ 8 สปีด จะถูกใช้ในมินิรุ่นเล็กอย่าง รุ่น Hatch 3 ประตู (F56), 5 ประตู (F55) และรุ่นเปิดประทุน (F57) เช่นกัน แต่จะใช้ในรุ่นที่มีเรตติ้งเครื่องยนต์ที่มีความแรงสูง อย่าง Cooper SD และ JCW ครับ ตามกำหนดนี้

  • MINI JCW F56 – ตั้งแต่การผลิตในเดือน พ.ย. 17
  • MINI JCW F57 – ตั้งแต่การผลิตในเดือน มี.ค. 18
  • MINI Cooper SD (F56, F55, F57) – ตั้งแต่การผลิตในเดือน พ.ย. 17

กำหนดการนี้ ยังไม่ได้รับคำยืนยันอย่างเป็นทางการใดๆ จากทาง MINI นะครับ เป็นการรายงานจากเว็บไซต์ MotoringFile ที่มีแหล่งข่าวใกล้ชิดกับ MINI เท่านั้น และอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ ส่วน MINI รุ่นใหญ่ๆ อย่าง Clubman และ Countryman ที่มีตัวเลือกของเกียร์ 8 สปีดอยู่แล้วนั้น ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ณ เวลานี้ครับ

เปิดตัว MINI Hatch และ Convertible รุ่นปรับโฉมใหม่ (2018 LCI) พร้อมรายละเอียดทั้งหมด

$
0
0

MINI เปิดตัว MINI Hatch และ MINI Convertible รุ่นปรับโฉมใหม่ (LCI) ปรับปรุงส่วนต่างๆ รอบคัน โดยเฉพาะไฟหน้า ไฟท้าย โลโก้ และการตกแต่งภายใน แถมยังมาพร้อมสีตัวถังใหม่ ชุดเกียร์อัตโนมัติใหม่ และอุปกรณ์ตกแต่งแบบใหม่อีกหลากหลายอย่าง

หลังจากที่ MINI เปิดตัว MINI Hatch เจเนอเรชั่นปัจจุบัน (F56) ตั้งแต่ปี 2014 ก็ถึงเวลาที่ MINI จะได้ทำการรีเฟรช ปรับปรุงโฉมใหม่กันแล้วครับ ซึ่งการทำ LCI หรือการปรับโฉมครั้งนี้ มีผลกับรถ MINI ทั้งหมด 3 โมเดล คือ MINI Hatch 3 ประตู (F56), MINI Hatch 5 ประตู (F55) และ MINI Convertible (F57) ก่อน โดยมีรายละเอียดการปรับปรุงทั้งหมด ดังนี้

ไฟหน้าแบบใหม่ วงแหวนเต็มวง

ไฟหน้าของรถ MINI ทั้งสามรุ่นที่ทำการปรับโฉมใหม่นี้ จะมาพร้อมกับรายละเอียดภายในโคมไฟหน้าแบบใหม่ ตั้งแต่รุ่นไฟ Halogen ที่มีการเน้นรายละเอียดด้วยพาเนลสีดำ จนมาถึงรุ่นไฟ LED ที่เพิ่มความสว่างมากขึ้น และใช้ไฟ Daytime Running Light แบบวงแหวนครบทั้งวง ไฟเลี้ยวเป็นวงแหวนเต็มวง พร้อมออปชั่นของ Adaptive LED ที่สามารถปรับความสว่างตามสภาพท้องถนนที่ขับขี่ได้อย่างอัตโนมัติ และสามารถตัดความสว่างเพื่อไม่ให้รบกวนรถคันอื่นๆ ที่ขับสวนมาในเวลากลางคืนได้อีกด้วย

ไฟท้ายใหม่ ลาย Union Jack

ไฟท้าย คือส่วนที่มีการปรับปรุงชัดเจนที่สุดของ MINI รุ่นปรับโฉมใหม่นี้ครับ มีการปรับเปลี่ยนรูปทรงและเส้นสายภายในโคมไฟ เป็นลายธงชาติสหราชอาณาจักร หรือลาย Union Jack ที่ได้ผสมผสานเอาไฟเลี้ยวและไฟเบรกเข้าไปอยู่ในรายละเอียดของลาย Union Jack ได้อย่างสวยงาม และติกย้ำความเป็นรถยนต์สัญชาติอังกฤษได้เป็นอย่างดี

โลโก้ใหม่ คลีนกว่าเดิม

มินิรุ่นปรับโฉมใหม่ทั้ง 3 โมเดลนี้ จะเป็นครั้งแรกที่ได้รับตราสัญลักษณ์โลโก้ MINI แบบใหม่บนตัวรถด้วย ซึ่งจะเป็นเส้นสาย 2 มิติ แบบคลีนๆ ตรงตามโลโก้ใหม่ของมินิที่ได้เริ่มใช้ในการสื่อสารทั่วโลกทั้งในโบรชัวร์ เว็บไซต์ และเอกสารต่างๆ ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา โลโก้นี้หมายรวมถึงตราบริเวณฝากระโปรงหน้ารถ ฝากระโปรงท้ายรถ และ โลโก้บนพวงมาลัยทั้งหมดเลย

เพิ่มสีตัวถังใหม่อีก 3 สี พร้อมล้อลายใหม่

มินิทั้ง 3 ประเภทตัวถัง (Hatch 3 ประตู, Hatch 5 ประตู และ เปิดประทุน) จะได้รับตัวเลือกของสีตัวถังใหม่เพิ่มเติมอีก 3 สี นั่นคือสี Emerald Grey Metallic, สีน้ำเงิน Starlight Blue Metallic และสีส้ม Solaris Orange Metallic

ส่วนการตัดขอบอุปกรณ์ตกแต่งภายนอก จะมีการเพิ่มออปชั่นของ Piano Black Exteior เช่น ขอบโคมไฟหน้า, โคมไฟท้าย และกระจังหน้ารถสีดำ (แทนที่จะเป็นสีเงินโครเมียม)

ล้ออัลลอย ก็มีลายใหม่ๆ เช่นกัน ประกอบไปด้วยลาย Roulette Spoke 2-tone ขนาด 17 นิ้ว, ลาย Propeller Spoke 2-tone ขนาด 17 นิ้ว และลาย Rail Spoke 2-tone ขนาด 17 นิ้ว สำหรับมินิทุกโมเดล

ตกแต่งภายในแบบใหม่ สีใหม่

ภายในตัวถังของรถมินิ มีการปรับปรุงวัสดุ และเพิ่มตัวเลือกของสีเช่นกัน โดยมีเบาะหนังสี Malt Brown และขอบสีสัน Malt Brown เพิ่มมาให้เป็นตัวเลือกใหม่ รวมถึงเปิดตัวโปรแกรมการตกแต่งพิเศษ MINI Yours ลายใหม่ ในชื่อสี MINI Yours Style Piano Black แบบเรืองแสง เช่น คอนโซลหน้ารถ, แผงประตู และขอบอุปกรณ์ต่างๆ ในลวดลายธงชาติอังกฤษ Union Jack สามารถเปลี่ยนสีสันสดใสได้ตามสี ambient light ของตัวรถได้อย่างสวยงาม

เพิ่มความแรง ลดน้ำหนักลง

มินิได้ทำการปรับปรุงเรตติ้งเครื่องยนต์ใหม่ในทุกโมเดล โดยทำการเพิ่มแรงบิด ในเครื่องยนต์เชทวินพาวเวอร์เทอร์โบเบนซิน 3 สูบ, เพิ่มแรงดันสูงสุดในการฉีดน้ำมันในเครื่องยนต์ทุกแบบ, เพิ่มฟีเจอร์ Dual-level Turbocharging ในมินิเครื่องยนต์ดีเซล และปรับเปลี่ยนวัสดุของฝาครอบเครื่องยนต์มาใช้วัสดุแบบคาร์บอนไฟเบอร์ (CFRP) เป็นครั้งแรก ทำให้โดยรวมแล้วรถมินิทุกรุ่นมีน้ำหนักที่เบาลงกว่ารุ่นเดิม

เพิ่มตัวเลือกของเกียร์อัตโนมัติ 7-สปีด แบบคลัตช์คู่

มินิเพิ่มตัวเลือกของเกียร์อัตโนมัติ 7-สปีด แบบคลัตช์คู่ (Dual-Clutch) ให้กับมินิรุ่น MINI One, MINI Cooper, MINI Cooper S และ MINI Cooper D ของทั้งสามตัวถังที่มีการปรับปรุงใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน MINI Cooper S จะมีตัวเลือกของเกีบร์แบบ 7-สปีด สปอร์ต คลัตช์คู่มาให้เลือกเพิ่มเติม โดยทั้งหมดนี้จะมาพร้อมกับคันเกียร์อิเล็กทรอนิกส์ใหม่อีกด้วย

พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นแบบใหม่

พวงมาลัยก็มีการออกแบบใหม่ ซึ่งจะเป็นพวงมาลัยมัลตอฟังก์ชั่นแบบสามก้าน มีปุ่มควบคุมด้านซ้ายที่สามารถควบคุม Speed Limit ได้เพิ่มเติม ในขณะที่ชุดควบคุมด้านขวาเป็นชุดควบคุมที่เกี่ยวข้องกับระบบความบันเทิงและเครื่องเสียงต่างๆ ที่แน่นอนว่ามาพร้อมกับโลโก้มินิแบบใหม่บนพวงมาลัย และมีออปชั่นของวัสดุให้เลือกเป็นพวงมาลัยหนังมาตรฐาน, พวงมาลัยหนังที่ตกแต่ง MINI Yours และพวงมาลัย John Cooper Works

เพิ่มระบบการชาร์จมือถือแบบไร้สาย และฉายไฟโลโก้บนพื้น

ออปชั่นใหม่ในรถมินิ LCI คือแท่นชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย สำหรับชาร์จมือถือรุ่นใหม่ๆ ได้โดยไม่ต้องเสียบสายใดๆ บริเวณช่องในที่วางแขนกึ่งกลางตัวรถ รวมถึงออปชั่นของพอร์ต USB เพิ่มเติมที่คอนโซลหน้ารถ

นอกจากนี้ยังมีออปชั่นในชุด MINI Excitement Package ที่เพิ่มการฉายโลโก้มินิลงบนพื้นนอกตัวรถ บริเวณฝั่งคนขับ (แบบที่มีมาก่อนแล้วใน MINI Clubman) ซึ่งแน่นอนว่าโลโก้ที่ฉายลงมา จะเป็นโลโก้ใหม่ของมินิด้วย

MINI Connected แบบใหม่ รองรับ Apple CarPlay

หน้าจอความบันเทิงของตัวรถ หรือ MINI Connected ก็มีการปรับปรุงครั้งใหญ่เช่นกัน เพิ่มการรองรับระบบ Real time traffic information, ระบบ Perosnal Concierge Service, ระบบข่าวสาร MINI Online และรองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay ซึ่งฟีเจอร์ใหม่หลายอย่างจะมีเฉพาะในบางประเทศก่อน


MINI รุ่นใหม่ทั้งหมดนี้ ยังไม่มีกำหนดว่าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยในช่วงไหน และจะมาในรูปแบบตัวถังใด ในเครื่องยนต์ใดบ้าง ซึ่งจะต้องรอทางมินิประเทศไทยประกาศนำเข้ามาอย่างเป็นทางการอีกครั้งอย่างใกล้ชิดนะครับ

รีวิว ทดลองขับจริง MINI LCI รุ่นปรับโฉมใหม่ เกียร์ใหม่ ไฟท้ายใหม่ สวยเร้าใจ

$
0
0

สวัสดีจากเกาะมายอร์กา ประเทศสเปนครับ วันนี้ผมพาแฟนๆ MINI-TH มาสัมผัสกับการปรับโฉมของ MINI Hatch (F56, F55) และ MINI Convertible (F57) พร้อมทดลองขับจริงกันก่อนที่มินิทั้งสามโมเดลนี้ จะเข้ามาจำหน่ายในบ้านเราเร็วๆ นี้ มาชมรายละเอียดทั้งหมดพร้อมกันเลยครับ

MINI ได้เปิดตัวมินิในเจเนอเรชั่นปัจจุบัน (F56) มาตั้งแต่ปี 2014 หรือเกือบ 4 ปีที่แล้วครับ มาถึงปีนี้ก็ถึงเวลาที่มินิจะทำการรีเฟรชรูปโฉมกันเล็กน้อย หรือที่มินิเรียกว่า LCI (Life Cycle Impulse) กับรถยนต์สามโมเดลของตัวเอง นั่นคือ MINI Hatch 3 ประตู, MINI Hatch 5 ประตู และ MINI Convertible โดยมีรายละเอียดการปรับปรุงแบ่งออกเป็นหลายส่วน ทั้งอุปกรณ์ตกแต่งภายนอก, ภายใน, สีตัวถัง, อุปกรณ์เสริมใหม่ๆ ไปจนถึงเครื่องยนต์ และเกียร์ใหม่

ต้องบอกว่า MINI ในโฉม Hatch ถือว่าเป็นหัวใจของรถยนต์มินิมาโดยตลอด ตั้งแต่รุ่นดั้งเดิมแล้วนะครับ ซึ่งมินิก็ยังคงเอกลักษณ์ของความเป็น “ออริจินัล” มาจนถึงรุ่นที่ปรับโฉม LCI ครั้งนี้ มีการปรับเปลี่ยนหน้าตาไม่มากนัก เพิ่มเติมเส้นสายของดีไซน์ความเป็นรถมินิ และตอกย้ำความเป็นสัญชาติอังกฤษมากขึ้น โดยเฉพาะไฟท้าย ที่มีการเปลี่ยนลวดลายเป็นธง Union Jack และเป็นส่วนที่โดดเด่นที่สุดในการปรับโฉม LCI ครั้งนี้ของมินิ

Exterior Refresh

ในส่วนของด้านหน้าตัวรถ แม้ว่าจะมีลักษณะของกระจังหน้ารูปทรงเดิม แต่ส่วนที่มีการปรับเปลี่ยน คือไฟหน้า ที่ได้ปรับมาเป็นไฟ LED แบบวงแหวนเต็มวง โดดเด่นตอนเปิด Daytime Running Light ที่เน้นเอกลักษณ์ของไฟหน้าทรงกลมของรถยนต์มินิได้เป็นอย่างดี

ไฟเลี้ยวในรุ่น LCI นี้ จะกระพริบเป็นวงแหวนเต็มวง ทดแทนตำแหน่งของไฟ Daytime Running Light เลยนะครับ เด่นมาก และแปลกตาสำหรับผู้พบเห็นเป็นครั้งแรก ผมเองก็ตกใจอยู่เหมือนกันที่ได้เห็นไฟเลี้ยวขึ้นมาเป็นวงแหวนเต็มๆ วงแบบนี้

ไฟหน้า LED ของมินิรุ่นใหม่ ยังมาพร้อมฟังก์ชั่นไฟ Matrix สำหรับไฟสูง ทำงานร่วมกับกล้องหน้ารถ สามารถตัดโซนเพื่อดับไฟสูงบางทิศทางได้เมื่อตรวจพบว่ามีรถขับสวนมา เพื่อความปลอดภัยของเพื่อนร่วมทาง และให้ความสว่างกับผู้ขับขี่ได้แม่นยำ ปลอดภัยมากขึ้น

จุดเด่นที่สุดของการปรับโฉมครั้งนี้ คือไฟท้าย LED ลวดลายธง Union Jack ครับ ที่ทางมินิบอกว่าเป็นความ “Very British” ของรถคันนี้ มีการแบ่งแถบเส้นสายของลาย Union Jack ออกเป็นหลายส่วน เช่นไฟเบรก จะเป็นเส้นแนวตั้ง, ไฟเลี้ยว ใช้เส้นแนวนอนกึ่งกลาง, ไฟท้ายตอนเปิดไฟหน้ารถ จะเป็นเส้นแนวทะแยง และ ไฟถอยจะถูกแยกลงมาเป็นเส้นแนวนอนด้านล่างสุด โดยรวมทำให้ด้านท้ายของ MINI LCI รอบนี้ เด่นสะดุดตาขึ้นมาก น่ารักมาก สวยขึ้นมาก

ด้านข้างตัวรถ ดูผิวเผินอาจจะเหมือนกับไม่มีอะไรใหม่เลยนะครับ แต่มินิก็ได้เพิ่มลูกเล่นของตัวเลือก Side Scuttles ที่ให้ผู้ใช้มินิสามารถออกแบบและสั่งซื้อลวดลายของตัวเองได้เป็นครั้งแรก สามารถสั่งพิมพ์ชื่อตัวเอง หรือใช้โลโก้ที่ตัวเองชื่นชอบ และส่งให้กับทางมินิขึ้นรูปด้วยเครื่องพิมพ์แบบ 3 มิติ (3D Printing) และส่งชิ้นส่วนกลับมาให้ลูกค้ามินิสามารถทำการเปลี่ยนด้วยตัวเอง เพิ่มความ personalize ให้กับรถมินิของลูกค้ามินิแต่ละคน

ชิ้นส่วนที่สามารถสั่งทำเป็นชื่อหรือลวดลายได้แบบ Custom ในมินิรุ่นปรับโฉมใหม่นี้ ประกอบไปด้วยกรอบไฟเลี้ยวด้านข้างหรือ Side Scuttles, คอนโซลด้านในตัวรถฝั่งผู้โดยสาร, กาบบันได และ ไฟโลโก้ที่ฉายลงมาด้านข้างตัวรถ สามารถเลือกสั่งซื้อแยกได้ทั้งหมด ตามที่ลูกค้าแต่ละคนต้องการครับ

ล้ออัลลอยในมินิรุ่นปรับโฉมใหม่นี้ มีล้อลายใหม่ๆ มาให้เลือกด้วยเช่นกัน ลายใหม่มีทั้งหมด 3 ลายนะครับ คือลาย Roulette Spoke 2-tone ขนาด 17 นิ้ว, ลาย Propeller Spoke 2-tone ขนาด 17 นิ้ว และ ลาย Rail Spoke 2-tone ขนาด 17 นิ้ว

ภายนอกตัวรถ มีออปชั่นให้เลือกตัดขอบสีดำ ด้วยแพ็กเกจ Piano Black Exterior ซึ่งจะประกอบไปด้วยคิ้วขอบไฟหน้า, คิ้วขอบกระจังหน้า, มือจับฝากระโปรงท้าย และ คิ้วขอบไฟท้าย โดยจะใช้ขอบสีดำเงาแบบ high-gloss แทนที่ขอบโครเมียม เพิ่มความดุดันให้กับมินิได้ตามความชื่นชอบของแต่ละคน

อีกส่วนที่หลายคนอาจจะไม่ทันได้สังเกต คือส่วนของโลโก้มินิทั้ง 5 ตำแหน่ง (หน้ารถ, ท้ายรถ, โลโก้บนพวงมาลัย, โลโก้บนกุญแจรีโมท และ ไฟโลโก้ที่ฉายลงพื้น) ได้มีการปรับเปลี่ยนมาเป็นโลโก้มินิแบบใหม่ ที่เป็นโลโก้ 2 มิติแล้ว มีความเรียบง่ายกว่าแบบเดิม และดูสะอาดตามากขึ้นกว่าเดิม ตามแนวทางของแบรนด์มินิที่ได้ปรับเปลี่ยนการสื่อสารมาใช้โลโก้ใหม่ได้สักระยะหนึ่งแล้ว แต่นี่คือครั้งแรกที่มินิได้เลือกใช้แบดจ์โลโก้ใหม่ในรถยนต์ของมินิ

นอกจากนี้ สีตัวถังของมินิ ได้รับการเพิ่มเข้าไปอีก 3 สีใหม่ ประกอบไปด้วยสีน้ำเงิน Starlight Blue, สีเทา Emerald Grey และ สีส้ม Solaris Orange

ความสวยงามอีกอย่างของมินิในรุ่นปรับโฉมใหม่นี้ คือยามค่ำคืนครับ ที่เป็นครั้งแรกในมินิโฉม Hatch กับ Convertible ที่มีการเล่นกับหลอดไฟ และแผงอุปกรณ์เรืองแสงต่างๆ เช่นโลโก้มินิ ที่จะฉายลงมาฝั่งคนขับ เมื่อเราทำการปลดล็อกรถยนต์

Interior Refresh

ข้ามมาดูภายในตัวรถกันบ้างครับ แม้จะดูผิวเผินแล้ว เหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงไม่เยอะ แต่แท้จริงแล้วมินิก็แอบปรับปรุงหลายส่วนอยู่เหมือนกันนะครับ รายละเอียดตามนี้เลย

เบาะหนัง มีการเพิ่มตัวเลือกของเบาะหนังในชื่อลาย Chester Leather และมีสีน้ำตาลโทนใหม่ในชื่อสี Malt Brown สวยงาม และให้ความรู้สึกที่พรีเมียมเข้ากับตัวรถที่มีการรีเฟรชใหม่ได้เป็นอย่างดี

MINI Yours Interior ได้เพิ่มตัวเลือกของไฟสะท้อนแสง Illuminated Light บริเวณฝาคอนโซลฝั่งผู้โดยสาร เป็นลายธง Union Jack สีสันต่างๆ ตามที่เราสามารถกดปรับเปลี่ยนสีได้จากปุ่มเปลี่ยนสีไฟ Ambient Light อันนี้ของจริงสวยมากๆๆ ครับ

แผงไฟ Illuminated Light ที่สามารถปรับเปลี่ยนสี ตามสีของ Ambient Light ได้นี้ จะโดดเด่นมากในเวลากลางคืน เล่นกันเพลินเลยล่ะ

ส่วนของหน้าจอความบันเทิง ตอนนี้มีออปชั่นของหน้าจอทัชสกรีนมาสำหรับมินิ LCI ทุกรุ่นแล้วนะครับ จากเดิมที่อยู่ใน MINI Clubman กับ Countryman เท่านั้น

หน้าปัดแบบเข็ม ตอนนี้ได้รับการปรับปรุงส่วนของระดับน้ำมันให้เป็นแบบใหม่ (แบบเดียวกับที่ปรับปรุงใน Countryman ไปก่อนหน้านี้)

ช่องเสียบชาร์จไฟ มีช่องเสียบ USB เพิ่มมาเป็น 2 ช่องแล้วในรุ่นนี้ 😉

ปุ่มปรับโหมด SPORT / MID / GREEN ถูกย้ายจากวงแหวนรอบฐานเกียร์ มาอยู่ที่สวิตช์ขวาสุดของแผงคอนโซลกลาง

และครั้งแรกของ MINI ที่มีแท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย (Wireless Charging) มาให้บริเวณกล่องด้านในที่พักแขน เราสามารถวางมือถือรุ่นที่รอวงรับระบบการชาร์จไร้สาย เข้าไปบนแท่นเพื่อชาร์จได้เลยทันที

Engine Refresh

ในส่วนของเครื่องยนต์บ้างครับ สิ่งที่มีการอัปเกรดใหญ่ในการปรับโฉม LCI รอบนี้ คือเรื่องของเกียร์อัตโนมัติ ที่ถูกเปลี่ยนมาใช้เกียร์อัตโนมัติแบบคลัตช์คู่ (Dual Clutch Transmission; DCT) 7 สปีด เป็นครั้งแรก สำหรับรุ่น MINI One, MINI Cooper, MINI Cooper S และ MINI Cooper D ครับ ข้อดีที่จะเห็นได้อย่างชัดเจนในเกียร์ DCT คือจังหวะเปลี่ยนเกียร์จะทำได้เร็วขึ้นมาก และไหลลื่นขึ้นมาก แถมยังมีอัตราการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงที่มากขึ้นกว่าเดิมด้วย โดยทางมินิเคลมว่า มินิรุ่นปรับโฉมใหม่ จะประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้มากกว่าเดิมถึง 5%

แน่นอนว่า พอเป็นเกียร์อัตโนมัติแบบใหม่ ก็เลยต้องมาพร้อมกับหน้าตาของคันเกียร์แบบใหม่ด้วย ตอนนี้เป็นคันเกียร์ไฟฟ้าแล้วครับ (คล้ายกับของ BMW) ที่ต้องสังเกตไฟบนหัวเกียร์ หรือหน้าจอแสดงสถานะ ว่าเกียร์อยู่ที่ตำแหน่งใด

Drive!

ถึงเวลาไปทดลองขับกันแล้วครับ วันนี้ทางมินิได้เตรียมรถให้ผมเอาไว้ 2 รุ่น คือ MINI Hatch 3 ประตู (F56 LCI) สีส้ม Solaris Red และ MINI Convertible เปิดประทุน (F57 LCI) สีน้ำเงิน Starlight Blue โดยทั้งสองรุ่น เป็น Cooper S เครื่องยนต์ทวินพาวเวอร์เทอร์โบ เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร ให้ความแรงสูงสุด 192 แรงม้าครับ

ทั้งสองคัน ทางมินิได้ใส่ออปชั่น Piano Black Exterior มาด้วย ตัดขอบไฟหน้า ไฟท้าย และกระจังหน้าด้วยคิ้วสีดำเงา แทนที่คิ้วโครเมียม ดุดัน และสวยงามขึ้น แถมไฟหน้าและไฟท้ายแบบใหม่ที่มาพร้อมกับ LCI รอบนี้ ยิ่งทำให้ตัวรถโดยรวมดูลงตัว ดูสดใหม่ น่ามอง น่าขับ

ผมเริ่มจาก MINI Cooper S ในโฉมของ Hatch 3 ประตูก่อนครับ คันนี้น่าเสียดายนิดนึงที่มินิได้เตรียมเป็นรุ่นเกียร์ธรรมดามาให้ (ซึ่งไม่นำเข้ามาขายในไทยนะครับ รุ่นที่ขายในไทย จะเป็นเกียร์ออโต้คลัตช์คู่ 7 สปีด ทั้งหมด) เนื่องจากในยุโรป ยังมีตลาดของเกียร์ธรรมดาอยู่ค่อนข้างมากครับ ผมเริ่มออกเดินทางจากจุดรับรถที่สนามบิน Palma de Mallorca Airport ด้วยฟิลลิ่งที่คุ้นเคยจากรถมินิแฮตช์ในโฉมของ F56 ซึ่งจากที่นั่งคนขับแล้ว บอกตามตรงเลยว่า แทบจะไม่มีความรู้สึกแตกต่างจากรุ่นก่อน LCI เลยล่ะครับ ทั้งขนาด ตำแหน่งที่นั่ง และหน้าตาของหน้าปัด แผงควบคุมต่างๆ คล้ายกับของเดิมอย่างมาก

MINI Hatch ยังถือว่าเป็นมินิโฉมที่ปราดเปรียวที่สุด ขับสนุกที่สุด และมีบาลานซ์ในการขับที่สมบูรณ์แบบที่สุดในบรรดามินิทุกรูปโฉมครับ โดยในรุ่น LCI นี้ สิ่งที่ทำให้รู้สึกแตกต่างจากรุ่นเดิมแบบสังเกตได้ คือช่วงล่างที่เซ็ตมาแข็งขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย เพิ่มความสนุกในการขับขี่มากขึ้น แมจะอยู่ในโหมด MID ที่มีคอมเมนต์จากบรรดาแฟนๆ มินิ ว่าช่วงล่างนุ่มนวลเกินไปในรุ่นก่อนหน้า

การเข้าโค้ง และพวงมาลัยของมินิ ยังมีความเฉียบคมอย่างมากครับ ตลอดเส้นทางการขับขี่บนเกาะมายอร์กา ที่มีทั้งความคดเคี้ยวของทางลาดชันบนเขา และถนนที่แคบกว่าปกติในเขตเมือง ให้ความสนุกจนสามารถรับรู้ได้ว่า เราไม่สามารถหาฟิลลิ่งแบบนี้ได้จากรถยี่ห้ออื่นๆ ในตลาดปัจจุบันอีกแล้ว ซึ่งนี่แหละ คือคาแรคเตอร์ที่แท้จริงของมินิ ที่มีมาตลอดในทุกเจเนอเรชั่นของรูปโฉม Hatch อันดั้งเดิมของแบรนด์

เสน่ห์ของมินิ ในโฉม Hatch คือ คาแรคเตอร์ที่เด่นชัดของการขับขี่อย่างคล่องตัว ช่วงล่างที่กระด้างเล็กน้อย พวงมาลัยที่มีน้ำหนัก ไม่เบาจนเกินไป ให้คนขับได้รับรู้ถึงความเป็นโกคาร์ตฟิลลิ่ง และเกาะถนนอย่างมาก เป็นรถที่ขับสนุก (แต่คนนั่งอาจจะไม่สบาย) โดยเฉพาะเมื่อปรับเข้าสู่โหมดสปอร์ต ก็ยิ่งเพิ่มความกระแทกกระทั้นได้อย่างที่มินิควรจะเป็น

ผมสลับมาขับ MINI Convertible เปิดประทุนบ้าง ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ Cooper S ทวินพาวเวอร์เทอร์โบ 4 สูบ 2.0 ลิตร 192 แรงม้าเช่นกัน แต่คันนี้เป็นเกียร์อัตโนมัติแบบใหม่ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มินิเลือกใช้เกียร์ Dual Clutch Transmission 7 สปีดครับ มาพร้อมหัวเกียร์แบบใหม่ และมินิเคลมว่า เกียร์ DCT พร้อมชุดเครื่องยนต์ในการ LCI รอบนี้ จะช่วยให้มีอัตราการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้นราวๆ 5%

เป็นไปตามความคาดหมาย คือ MINI Cooper S ที่สวมเกียร์ออโต้แบบคลัตช์คู่เข้าไป มีการชิฟต์เกียร์ที่ราบรื่นกว่าเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดเดิม ชนิดที่เราไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่ารถได้ทำการเปลี่ยนเกียร์ให้เราแล้ว จังหวะเปลี่ยนเกียร์นิ่งเรียบ และรวดเร็ว หากใช้ความเร็วปกติ และขับขี่แบบปกติ รถยนต์จะรักษารอบเครื่องยนต์ให้ต่ำอยู่เสมอ และนำพาเราไปใช้เกียร์สูงๆ ได้อย่างรวดเร็วมาก (ซึ่งอาจจะไม่สะใจคนที่ชอบฟิลลิ่งให้รับรู้จังหวะเปลี่ยนเกียร์แบบกระชากนิดๆ ครับ เพราะมันราบเรียบมาก)

ในขณะเดียวกัน ถ้าอยู่ในโหมดสปอร์ต หรือมีการขับซิ่งมากขึ้น เกียร์ DCT ชุดนี้ จะยิ่งตอบสนองได้อย่างออกรสออกชาติครับ จังหวะคิกดาวน์จากเกียร์ 5 ลงเกียร์ 3 หรือจากเกียร์ 6 ลงเกียร์ 4 นี่ทำได้รวดเร็วอย่างมาก จังหวะการเร่งแซงเฉียบขาดมากขึ้น แม้จะเป็นเครื่องยนต์ที่มีเรตติ้งความแรงเท่าเดิมก็ตาม

MINI Convertible พอได้มาเจออากาศเย็นสบาย กับแดดดีๆ ของมายอร์กา นี่ทำให้เราขับรถแบบเปิดประทุน ชนิด Always Open กันได้ตลอดแทบจะทั้งวันเลยครับ บวกกับรถที่ขับสนุกแบบนี้ และวิวที่สวยงามแบบนี้ ขับฟิน และชิลกันตลอดเส้นทาง

ใน MINI เปิดประทุน หรือรุ่น Convertible คันนี้ ผมยังรับรู้ถึงความกระด้างของช่วงล่างได้อย่างชัดเจนเช่นกันครับ และยืนยันได้เลยว่า ในรุ่น LCI นี้มีการปรับปรุงให้ช่วงล่างมีความแข็งขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ซึ่งเป็นผลดีที่ย่านความเร็วสูง บวกกับน้ำหนักของพวงมาลัยที่ต้องออกแรงนิดๆ ทำให้ขับซิ่งได้อย่างมั่นใจทุกโค้ง คนที่ชอบขับรถ และรับรู้ฟิลลิ่งของรถ จะชื่นชอบมากขึ้นแน่ๆ ส่วนในย่านความเร็วต่ำ อาจจะรู้สึกกระด้างอยู่พอสมควร พอเริ่มขับไกลๆ หรือเจอถนนไม่เรียบอยู่เป็นระยะ ก็มีเมื่อยกันบ้างล่ะครับ แต่ต้องไม่ลืมว่านี่มันคือรถมินิ ใครจะคาดหวังให้มันนุ่มสบายเหมือนซีรีส์เจ็ดกันล่ะ…

สรุป

แม้ว่าจะเป็นการปรับโฉม LCI ครั้งที่เปลี่ยนแปลงน้อยสุดในบรรดาการปรับโฉมของมินิทุกครั้งที่ผ่านมา แต่การเลือกที่จะปรับเปลี่ยนไฟหน้า และไฟท้ายให้มีเอกลักษณ์โดดเด่นขนาดนี้ ก็ทำให้โฉม F56, F55 และ F57 มีความสดใหม่ขึ้นมาได้อีกครั้ง บวกกับได้ชุดเกียร์อัตโนมัติแบบ Dual Clutch ในแทบจะทุกรุ่นเครื่องยนต์ และลูกเล่นของออปชั่นใหม่ๆ ที่มีมาให้ลูกค้ามินิเลือกเป็นครั้งแรกในโฉมของ Hatch และ Convertible

มินิให้ความสำคัญกับการ personalize หรือตกแต่งตามสไตล์ของลูกค้าแต่ละคนเป็นอย่างมากครับ และใน MINI LCI นี้ก็เป็นครั้งแรกที่มินิเปิดให้ลูกค้าแต่ละคนสามารถสั่งชิ้นส่วนของอุปกรณ์เสริม พิมพ์มาเป็นชื่อของตัวเองได้ ไม่ว่าจะเป็นแถบ Side Scuttles ด้านข้างตัวรถ, กาบบันได, ลายของไฟที่ฉายลงบนพื้น หรือแผงคอนโซลหน้าฝั่งผู้โดยสาร ด้วยเทคโนโลยี 3D Printing ที่ BMW Group ได้ขยายการลงทุนมาทำโรงงานสำหรับผลิตชิ้นส่วนเหล่านี้โดยเฉพาะ

การขับขี่โดยรวมของ MINI LCI ยังคงคาแรคเตอร์ความสนุกในสไตล์มินิได้อย่างเหนียวแน่นครับ เกียร์ออโต้แบบ Dual Clutch ที่ปรับปรุงเข้ามา ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์ราบรื่นมากขึ้น และประหยัดน้ำมันมากขึ้นกว่ารุ่นเดิม บวกกับการเซ็ตช่วงล่างที่กระด้างกว่ารุ่นเดิมเล็กน้อย ให้ประสบการณ์ในการขับมินิที่แฟนมินิจะชื่นชอบอยู่เหมือนเดิม (และคนนั่งจะยังบ่นถึงความกระด้างอยู่เหมือนเดิม) นี่แหละครับ จิตวิญญาณการขับขี่ในสไตล์มินิ ที่พร้อมจะออกไป Explore More Corners กันทุกวัน

MINI LCI ทั้งสามรุ่นย่อย (Hatch 3 ประตู, Hatch 5 ประตู และ Convertible) จะนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยเร็วๆ นี้ครับ ส่วนออปชั่นแต่ละรุ่นจะเป็นอย่างไร เปิดราคาเท่าไหร่ และเริ่มวางขายในช่วงไหน ผมจะรายงานให้คุณผู้อ่านผ่านทาง MINI-TH ของเราอีกครั้ง

พบกันใหม่รีวิวหน้า สวัสดีครับ

บทความโดย:
อู๋ spin9

ขอขอบคุณ:
มินิ ประเทศไทย

ลือ MINI JCW 300 แรงม้า เตรียมเปิดตัวปี 2019

$
0
0

ปล่อยให้แฟนๆ มินิเฝ้ารอกันมาสักพัก สำหรับ MINI โมเดลที่มีความแรงเหนือกว่า JCW ปัจจุบัน ซึ่งลิมิตอยู่ที่ 231 แรงม้า ในขณะที่ฝั่ง BMW มีตัวเลือกของเครื่องยนต์ M ที่แรงกว่ามาก และแบรนด์คู่แข่งที่ทำรถยนต์ไซส์เดียวกัน ก็มีรุ่นเครื่องยนต์ที่แรงกว่าพอสมควร ล่าสุด เริ่มมีข่าวลือเกี่ยวกับมินิที่จะมีความแรงถึง 300 แรงม้าออกมาแล้ว

เว็บไซต์ MotoringFile เปิดเผยว่า ได้รับการยืนยันจากแหล่งข่าวภายในของมินิ ถึงการพัฒนารถยนต์ MINI ที่มีความแรง 300 แรงม้า โดยจะมาในรูปโฉมของ MINI Clubman และ MINI Countryman เป็นหลัก (เพื่อให้เป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อ ALL4) ซึ่งยังไม่มีการเปิดเผยว่า MINI จะใช้ชื่อรุ่นว่าอะไรกันแน่ เพราะจะเป็นรุ่นที่มีความแรงเหนือกว่า MINI John Cooper Works Clubman / Countryman ปัจจุบันอยู่พอสมควร

รถ MINI ที่จะมีความแรงถึง 300 แรงม้านี้ จะใช้เครื่องยนต์รหัส B48A20T1 ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวในช่วงปี 2019 มีตัวเลือกเฉพาะรุ่นเกียร์อัตโนมัติเท่านั้น และจะสามารถทำตัวเลข 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ต่ำกว่า 5 วินาที

ในขณะที่มินิรุ่นเล็ก อย่าง MINI Hatch และ MINI Convertible นั้น จะไม่มีการปรับปรุงในส่วนของตัวเลขแรงม้า (ยังคง 231 แรงม้าเท่าโมเดลปัจจุบัน) แต่จะมีการปรับปรุงเครื่องยนต์เล็กน้อย หรือที่ BMW Group เรียกว่า Technical Update (TU) ครับ

ที่มา: MotoringFile

มินิ ประเทศไทย เตรียมเปิดตัว MINI รุ่นปรับโฉม LCI 2018 ในไทย วันที่ 16 มิ.ย. นี้

$
0
0

มินิ ประเทศไทย เผยวันเปิดตัว MINI Hatch 3 ประตู , MINI Hatch 5 ประตู และ MINI Convertible รุ่นปรับโฉมใหม่ LCI 2018 ในไทย แล้ว โดยจะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 16 มิ.ย. นี้ มาครบ จัดเต็มทั้ง 3 ตัวถัง รอลุ้นรายละเอียดออปชั่น และ ราคาเปิดตัวในงาน

หลังจากที่มินิได้เผยโฉม MINI รุ่นปรับโฉมใหม่ LCI 2018 ไปก่อนหน้านี้ และผมได้พาไปทดลองขับคันจริงกันมาแล้ว (คลิกอ่าน>> รีวิว ทดลองขับจริง MINI LCI รุ่นปรับโฉมใหม่ เกียร์ใหม่ ไฟท้ายใหม่ สวยเร้าใจ) ก็ได้ฤกษ์ที่ MINI LCI 2018 รุ่นปรับโฉมใหม่นี้ จะได้เปิดตัวในไทยครับ ซึ่งมินิ ประเทศไทยได้เคาะวันเสาร์ที่ 16 มิ.ย. นี้เป็นวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการในไทย ภายใต้คอนเซ็ปต์ Explore More Corners

เบื้องต้น มินิ ประเทศไทย จะนำ MINI LCI รุ่นปรับโฉมใหม่ เข้ามาจำหน่ายครบทั้ง 3 ตัวถัง คือ MINI Hatch 3 ประตู , MINI Hatch 5 ประตู และ MINI Convertible รวมถึงมีรุ่นเครื่องยนต์ให้เลือกอย่างหลากหลาย ตั้งแต่รุ่น MINI Cooper, MINI Cooper S และตัวแรงอย่าง MINI John Cooper Works ที่จะมีออปชั่น อุปกรณ์ตกแต่ง ที่แตกต่างกันไป ซึ่งต้องรอลุ้นรายละเอียดออปชั่น พร้อมราคาจำหน่ายกันอีกครั้งในงานนี้

MINI รุ่นปรับโฉมใหม่ LCI มีรายละเอียดที่น่าสนใจเพิ่มเติมหลากหลายอย่าง เช่น การตกแต่งลวดลายของไฟใหม่ ทั้งไฟหน้าแบบวงแหวนเต็มวง, ไฟท้ายลวดลาย Union Jack, ปรับโลโก้ MINI ทุกตำแหน่งเป็นแบบสองมิติ, ปรับเกียร์อัตโนมัติมาใช้แบบคลัตช์คู่ 7 สปีด, สีตัวถังใหม่ 3 สี คือสีส้ม Solaris Orange, สีน้ำเงิน Starlight Blue และสีเทา Emerald Grey

MINI-TH จะนำรายละเอียดของรุ่นที่จะจำหน่ายในไทยทั้งหมดมารายงานอีกครั้งในวันที่ 16 มิ.ย. นี้ครับ


มินิ ประเทศไทย จัดงาน ‘Explore More Corners’เปิดตัว MINI รุ่นปรับโฉมใหม่ LCI 2018

$
0
0

ได้ฤกษ์เปิดตัวอย่างเป็นทางการในไทยแล้วครับ กับ MINI รุ่นปรับโฉมใหม่ LCI 2018 มาครบทั้งสามตัวถัง – MINI Hatch 3 ประตู, Hatch 5 ประตู และ Convertible โดยแฟนๆ มินิชาวไทย มีตัวเลือกของเครื่องยนต์ครบทั้ง Cooper, Cooper D, Cooper S และ John Cooper Works

มินิ ประเทศไทย จัดงานเปิดตัว MINI รุ่นปรับโฉมใหม่ หรือ LCI ภายใต้คอนเซ็ปต์ Explore More Corners ยึดพื้นที่ของ Voice Space เป็นสถานที่จัดงานเปิดตัว นำโดยคุณปรีชา นินาทเกียรติกุล ผู้จัดการทั่วไป มินิ ประเทศไทย เผยโฉมของ MINI รุ่นปรับโฉมใหม่ ที่จะวางขายในไทยอย่างเป็นทางการ ทั้ง MINI Hatch 3 ประตู, MINI Hatch 5 ประตู และ MINI Convertible ที่มาพร้อมกับดีไซน์ใหม่ ฟีเจอร์ใหม่ และ ชุดเกียร์แบบใหม่

ไฟหน้าแบบใหม่ วงแหวนเต็มวง

ไฟหน้าของรถ MINI ทั้งสามรุ่นที่ทำการปรับโฉมใหม่นี้ มาพร้อมกับรายละเอียดภายในโคมไฟหน้าแบบใหม่ ใช้ไฟ LED ที่เพิ่มความสว่างมากขึ้น และใช้ไฟ Daytime Running Light แบบวงแหวนครบทั้งวง ไฟเลี้ยวเป็นวงแหวนเต็มวง และในรุ่น MINI John Cooper Works จะมาพร้อมออปชั่นของ Adaptive LED ที่สามารถปรับความสว่างตามสภาพท้องถนนที่ขับขี่ได้อย่างอัตโนมัติ และสามารถตัดความสว่างเพื่อไม่ให้รบกวนรถคันอื่นๆ ที่ขับสวนมาในเวลากลางคืนได้อีกด้วย

ไฟท้ายใหม่ ลาย Union Jack

ไฟท้าย คือส่วนที่มีการปรับปรุงชัดเจนที่สุดของ MINI รุ่นปรับโฉมใหม่นี้ครับ มีการปรับเปลี่ยนรูปทรงและเส้นสายภายในโคมไฟ เป็นลายธงชาติสหราชอาณาจักร หรือลาย Union Jack ที่ได้ผสมผสานเอาไฟเลี้ยวและไฟเบรกเข้าไปอยู่ในรายละเอียดของลาย Union Jack ได้อย่างสวยงาม และตอกย้ำความเป็นรถยนต์สัญชาติอังกฤษได้เป็นอย่างดี

โลโก้ใหม่ คลีนกว่าเดิม

มินิรุ่นปรับโฉมใหม่ทั้ง 3 โมเดลนี้ เป็นครั้งแรกที่ได้รับตราสัญลักษณ์โลโก้ MINI แบบใหม่บนตัวรถด้วย ซึ่งจะเป็นเส้นสาย 2 มิติ แบบคลีนๆ ตรงตามโลโก้ใหม่ของมินิที่ได้เริ่มใช้ในการสื่อสารทั่วโลกทั้งในโบรชัวร์ เว็บไซต์ และเอกสารต่างๆ ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา โลโก้นี้หมายรวมถึงตราบริเวณฝากระโปรงหน้ารถ, ฝากระโปรงท้ายรถ, โลโก้บนพวงมาลัย, โลโก้บนไฟโปรเจคเตอร์ที่ฉายลงมาที่พื้น และ โลโก้บนกุญแจรีโมท

เพิ่มสีตัวถังใหม่อีก 3 สี พร้อมล้อลายใหม่

มินิทั้ง 3 ประเภทตัวถัง (Hatch 3 ประตู, Hatch 5 ประตู และ เปิดประทุน) มีตัวเลือกของสีตัวถังใหม่เพิ่มเติมอีก 3 สี นั่นคือสี Emerald Grey Metallic, สีน้ำเงิน Starlight Blue Metallic และสีส้ม Solaris Orange Metallic

ส่วนการตัดขอบอุปกรณ์ตกแต่งภายนอก มีการเพิ่มออปชั่นของ Piano Black Exteior เช่น ขอบโคมไฟหน้า, โคมไฟท้าย และกระจังหน้ารถสีดำ (แทนที่จะเป็นสีเงินโครเมียม)

ครั้งแรกของเกียร์อัตโนมัติ 7-สปีด แบบคลัตช์คู่

มินิเปลี่ยนมาใช้ชุดเกียร์อัตโนมัติ 7-สปีด แบบคลัตช์คู่ (Dual-Clutch) ให้กับมินิรุ่น MINI Cooper และ MINI Cooper S ของทั้งสามตัวถังที่มีการปรับปรุงใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน MINI Cooper S จะมีตัวเลือกของเกีบร์แบบ 7-สปีด สปอร์ต คลัตช์คู่มาให้เลือกเพิ่มเติม โดยทั้งหมดนี้จะมาพร้อมกับคันเกียร์อิเล็กทรอนิกส์ใหม่อีกด้วย ส่วนใน MINI John Cooper Works จะเปลี่ยนมาใช้เกียร์อัตโนมัติ 8-สปีด สปอร์ต (จากเดิม 6-สปีด)

เพิ่มระบบการชาร์จมือถือแบบไร้สาย และฉายไฟโลโก้บนพื้น

ออปชั่นใหม่ในรถมินิ LCI คือแท่นชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย สำหรับชาร์จมือถือรุ่นใหม่ๆ ได้โดยไม่ต้องเสียบสายใดๆ บริเวณช่องในที่วางแขนกึ่งกลางตัวรถ รวมถึงออปชั่นของพอร์ต USB เพิ่มเติมที่คอนโซลหน้ารถ

นอกจากนี้ยังมีออปชั่นในชุด MINI Excitement Package ที่เพิ่มการฉายโลโก้มินิลงบนพื้นนอกตัวรถ บริเวณฝั่งคนขับ (แบบที่มีมาก่อนแล้วใน MINI Clubman) ซึ่งแน่นอนว่าโลโก้ที่ฉายลงมา จะเป็นโลโก้ใหม่ของมินิด้วย

Availability and Pricing

มินิ ประเทศไทย พร้อมจะวางจำหน่ายรถมินิ รุ่นปรับโฉมใหม่ หรือ LCI ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้ โดยจะเปิดเผยรายละเอียดของออปชั่น, รุ่นย่อย, และราคาวางจำหน่ายของแต่ละรุ่นเร็วๆ นี้ครับ ซึ่งผมจะนำมาสรุปออปชั่น และราคาที่เปลี่ยนแปลงจากรุ่นเดิมให้อีกครั้ง

บทความโดย:
อู๋ spin9

มินิ ประเทศไทย เปิดตัว MINI JCW Convertible มินิเปิดประทุนตัวแรง เปิดราคา 3.468 ล้านบาท

$
0
0

มินิ ประเทศไทย เปิดตัว MINI John Cooper Works Convertible รถมินิเปิดประทุน ตัวแรงสายเลือด John Cooper Works อย่างเป็นทางการในประเทศไทย โดยเป็นรุ่นที่ผ่านการปรับโฉมใหม่เป็นที่เรียบร้อย ด้วยราคา 3,468,000 บาท

วันนี้ ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์ มินิ ประเทศไทย ได้ทำการเผยโฉมอย่างเป็นทางการครั้งแรกของ MINI John Cooper Works Convertible รถมินิเปิดประทุนตัวแรง จัดเต็มด้วยสเปกใหม่ล่าสุด ที่ผ่านการปรับโฉม (LCI) มาแล้ว โดดเด่นด้วยอุปกรณ์ตกแต่ง และออปชั่นอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน

MINI John Cooper Works Convertible ที่เปิดตัวในไทย มาพร้อมกับไฟท้ายลวดลาย Union Jack ที่เป็นเอกลักษณ์สำคัญของมินิรุ่นปรับโฉมใหม่ พร้อมหลังคาแคนวาสลวดลาย Union Jack เช่นกัน ซึ่งคันที่เปิดตัวนี้ เป็นสีเขียว Rebel Green ซึ่งเป็นสีตัวถังที่มีเฉพาะในรุ่น John Cooper Works เท่านั้น

ชุดแอโร่ไดนามิก John Cooper Works สปอร์ต และลงตัวอย่างมากในรูปทรงของ Convertible เปิดประทุน มาพร้อมล้ออัลลอย JCW ขนาด 18 นิ้ว พร้อมชุดเบรก JCW คาลิปเปอร์สีแดง

สายเลือดของ JCW – MINI John Cooper Works Convertible จัดเต็มด้วยความแรงของเครื่องยนต์ MINI TwinPower Turbo เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร มีตัวเลขความแรงสูงถึง 231 แรงม้า และรุ่นนี้ เป็นรุ่นที่ผ่านมาปรับปรุงมาใช้เกียร์ใหม่ Sport Steptronic 8 สปีดแล้วด้วยครับ

ภายในของตัวรถ มาพร้อมกับเบาะสปอร์ต John Cooper Works ที่สลับหนังแท้ กับ alcantara ได้อย่างลงตัว ทริมขอบสีแดง ส่วนหน้าปัดก็ถูกตกแต่งเป็นลวดลายตารางหมากรุก ซึ่งแสดงถึงธง checker ที่โบกสะบัดเมื่อรถแข่งเข้าสู่เส้นชัย อันเป็นสัญลักษณ์ของความแรงที่มินิเลือกใช้ในรถตระกูล JCW มาอย่างยาวนาน

MINI John Cooper Works Convertible ยังมีออปชั่นอำนวยความสะดวกต่างๆ มาอย่างล้นทะลักครับ ทั้งกล้องมองหลัง , แท่นชาร์จไร้สายบริเวณที่วางแขน , head-up display, ชุดเครื่องเสียง harman/kardon และหน้าจอสัมผัส MINI Connected XL ที่รองรับระบบ Apple CarPlay ในอนาคต เมื่อพร้อมเปิดให้บริการในรถมินิในไทย

มินิ ประเทศไทย เปิดราคาวางจำหน่าย MINI John Cooper Works Convertible ในไทย ที่ 3,468,000 บาท (รวมแพ็กเกจ MSI Standard ครอบคลุมค่าซ่อมบำรุงยาวนาน 5 ปี / 60,000 km) พร้อมให้จองแล้ว ณ ผู้แทนจำหน่ายมินิอย่างเป็นทางการทั่วประเทศครับ

รีวิว MINI John Cooper Works Convertible มินิเปิดประทุนตัวแรง สนุกทั้ง On Track และ On Road

$
0
0

สวัสดีแฟนๆ มินิครับ วันนี้ผมจะพาทุกท่านไปชม MINI John Cooper Works Convertible รถมินิเปิดประทุน สายพันธุ์แรงในตระกูล JCW ที่ใครเห็น ก็ต้องตกหลุมรัก แถมมันไม่ได้มีดีแค่หน้าตา แต่มันยังเป็นมินิที่สมบูรณ์แบบทั้ง On Track และ On Road อีกด้วย

มินิ ประเทศไทย ได้ทำการเปิดตัว MINI JCW Convertible ไปแล้ว เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยเปิดราคาขายที่ 3,468,000 บาท เพิ่มตัวเลือกของมินิสายพันธุ์แรง ให้มีโฉมตัวถังเปิดประทุนเป็นครั้งแรก ซึ่งทางมินิ ประเทศไทย ก็ได้เลือกสนามแข่งรถ ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นสถานที่จัดงานเปิดตัว เพื่อให้สื่อมวลชนได้มีโอกาสทดลองขับเจ้ามินิตัวแรงนี้ ในสนามแข่งรถ และได้รีดประสิทธิภาพของมินิ สายพันธุ์ John Cooper Works กันอย่างเต็มที่

MINI John Cooper Works Convertible

เจ้า MINI JCW Convertible คันนี้ ยังคงใช้พื้นฐานของ MINI Convertible รหัสตัวถัง F57 ซึ่งมีรูปลักษณ์และอุปกรณ์ตกแต่งมาตรฐานใกล้เคียงกันอย่างมากครับ โดยมันยังคงมีความสดใหม่มากๆ เพราะ MINI เพิ่งจะทำการปรับโฉม LCI เมื่อต้นปี 2018 นี้เอง นำเอกลักษณ์ที่เพิ่งถูกปรับแต่งมาอยู่ในรุ่น JCW Convertible ใหม่นี้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้าแบบวงแหวนเต็มวง, ไฟท้ายลวดลาย Union Jack, โลโก้ MINI แบบใหม่ และทริมขอบสีดำ Piano Black Exterior ล้อมรอบอุปกรณ์ต่างๆ รอบคัน เสริมความดุดันได้เป็นอย่างดี

MINI ในโมเดลของ John Cooper Works ยังมาพร้อมกับชุดแต่งรอบคันแบบสปอร์ต ชุดแอโร่ไดนามิกแบบเดียวกับที่อยู่ใน MINI JCW Hatch ที่เป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาแฟนๆ มินิกันเป็นอย่างดี เพราะได้ใช้ชุดแอโร่คิตหน้าตาแบบนี้มาสักระยะหนึ่งแล้ว รวมถึงการตัดทริมสีแดงทั้งเส้นขวางกระจังหน้า และกระจกมองข้าง และ ชุดเบรกสปอร์ตสีแดง ที่ทำให้ MINI JCW นั้นได้ลุคสปอร์ตขึ้นอีกเป็นกอง

นอกจากนี้ MINI JCW Convertible ที่ปรับโฉม LCI มาใหม่นี้ ยังมีอุปกรณ์ตกแต่งที่เหนือกว่าในรุ่น MINI Cooper S Convertible หลากหลายอย่าง เช่น ไฟหน้าแบบ LED Matrix สามารถตั้งไฟสูง และเลือกตัดไฟสูงบางส่วนเพื่อไม่ให้รบกวนสายตารถยนต์ที่ขับสวนมาได้อย่างอัตโนมัติ, ระบบช่วงล่างแบบ adaptive ที่ปรับความแข็งได้จากโหมดการขับขี่แบบ SPORT, ชุดเกียร์อัตโนมัติ 8-สปีด Steptronic Sport และแท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย Wireless Charging ที่บริเวณที่วางแขน

MINI John Cooper Works Convertible ยังมาพร้อมหลังคาแคนวาส ลวดลาย Union Jack อย่างสวยงาม และสามารถเปิดปิดหลังคาได้ในระยะเวลาเพียง 18 วินาที รวมถึงสามารถเปิดปิดได้ในขณะที่รถวิ่งด้วยความเร็วไม่เกิน 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอีกด้วย

ส่วนการรองรับอนาคต MINI JCW Convertible คันนี้ มีระบบ MINI Connected พร้อมระบบ Teleservices ที่สามารถเรียกระบบช่วยเหลือฉุกเฉิน SOS และรองรับ Apple CarPlay อย่างที่ BMW Thailand ได้เปิดตัวไปกับระบบ ConnectedDrive ไปแล้ว ซึ่งทางมินิ ประเทศไทย จะเปิดให้ใช้งาน MINI Connected ในไทยในปี 2019 ครับ (คนที่ซื้อรถในปีนี้ จะสามารถใช้งานได้เมื่อระบบพร้อมเปิดให้บริการ)

On Track!

ไฮไลต์จริงๆ ของ MINI ในรุ่น John Cooper Works ก็คงจะเป็นเรื่องของความแรงแบบสุดขั้วของ MINI ครับ เพราะนี่คือรุ่นเครื่องยนต์ที่ท็อปที่สุดของไลน์อัพมินิในปัจจุบัน ด้วยเครื่องยนต์ MINI TwinPower Turbo เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบ 231 แรงม้า ขับเคลื่อนล้อหน้า ที่สามารถรีดคาแรคเตอร์ความจี๊ดจ๊าดของ MINI ออกมาได้อย่างเต็มที่ และเป็นโฉมตัวถังที่ใกล้เคียงกับ MINI Hatch แบบออริจินัลดั้งเดิม ที่ดึงฟิลลิ่งของการขับโกคาร์ตออกมาให้แฟนๆ มินิได้ประทับใจได้อย่างมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

นี่เป็นครั้งแรกครับ ที่ผมได้มีโอกาสนำรถ MINI เข้ามาขับในสนามแข่งรถที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย อย่างสนามช้าง อินเตอร์เนเชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ซึ่งมีทางตรงยาวที่สามารถทำความเร็วได้สูงมาก แทร็กกว้าง มีโค้งที่ท้าทายหลากหลายโค้ง รองรับได้ถึงระดับรถแข่งรายการใหญ่ๆ และรถซูเปอร์คาร์ต่างๆ จนผมแอบนึกไปก่อนว่า รถ MINI อาจจะขับในสนามนี้ไม่สนุกเท่าที่ควร เพราะตัวเลข 231 แรงม้า กับสนามแข่งรถระดับนี้ อาจจะดูน้อยไปเสียหน่อย

แต่ความคิดนี้ก็หายไปอย่างรวดเร็วครับ ตั้งแต่ผมได้เริ่มขับ MINI John Cooper Works Convertible ยังไม่จบรอบสนามดี เพราะฟิลลิ่งที่ MINI บรรจงสร้างให้กับผู้ขับขี่ ‘JCW’ รถเล็ก พันธุ์แรงในสนามแข่งนั้น มันยอดเยี่ยมมากๆ บวกกับชุดเกียร์อัตโนมัติ Steptronic Sport 8-สปีด ที่เพิ่งปรับปรุงมาใหม่ มันดึงกระชากได้สะใจกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัดในโหมด SPORT รวมกับเสียงจากท่อไอเสียคู่ ที่หวานมากๆ เมื่อรอบเครื่องดันขึ้นไปแตะเกือบถึงเส้นสีแดง

สิ่งที่สร้างเซอร์ไพรส์ให้กับผมได้มากที่สุดกับรถคันนี้ ไม่ใช่ความเร็วหรือความแรงของมัน เพราะรถ MINI JCW ความแรง 231 แรงม้านั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่ และมีมาให้เราได้ขับกันหลายปีแล้ว แต่กลับเป็นช่วงล่างของ MINI Convertible คันนี้ ที่โดยปกติแล้วรถเปิดประทุน จะมีข้อจำกัดของช่วงล่างค่อนข้างมาก จากการถูกเสริมความแข็งแรงเพิ่มเติม (เพราะไม่สามารถยึดความแข็งแรงของตัวถังผ่านโครงสร้างหลังคาได้) และมักส่งผลให้การขับขี่ในย่านความเร็วสูง รวมถึงการเข้าโค้งด้วยความเร็วอย่างการขับในสนามแข่ง ออกมาไม่น่าประทับใจมากนัก แต่รถคันนี้ สามารถทำได้ดีมากๆ จนมีความใกล้เคียงกับรถ MINI ในโฉม Hatch เลยทีเดียว และจัดให้เป็นหนึ่งในรถเปิดประทุนที่ขับดีที่สุดในสนามแข่งเลยล่ะครับ

หลังจากได้ขับอยู่หลายรอบสนามใหญ่ ยิ่งได้ความสนุกและประทับใจกับสมดุลของรถคันนี้มากครับ มันบาลานซ์กันได้ลงตัวระหว่างพละกำลัง และช่วงล่าง ที่ทำให้เรารู้สึกมั่นใจได้อย่างมากในสนามแข่ง แม้ในย่านความเร็วสูง และการเข้าโค้งที่ความเร็วสูง ที่ทำให้เรารู้สึกได้บ่อยครั้งว่า ความเร็วขนาดนี้ กับโค้งแบบนี้ มันไม่น่าจะเอาอยู่ แต่เมื่อหักพวงมาลัยดันเข้าโค้งไป รถกลับเข้าไปได้อย่างเฉียบคม ส่วนทางตรงยาวๆ ที่ทำความเร็วได้เฉียดๆ 200 km/h เมื่อสุดทางตรงแล้วกระทืบเบรกลงไป ท้ายมีอาการดิ้น เรียกร้องความสนใจจากเราบ้าง แต่หน้ารถยังคงจิกพื้นแทร็กดีมาก จนเรียกว่า ยิ่งได้ขับ ยิ่งมั่นใจในสมรรถนะของมันมากขึ้นทุกรอบสนามที่ผ่านไปครับ ฟีลลิ่งแบบนี้ หาไม่ได้ง่ายๆ กับการขับขี่ในสนามแข่งนะครับ

ในวันนั้น ผมมีโอกาสได้ขับรถ MINI John Cooper Works ครบทั้งตระกูลในไลน์อัพปัจจุบัน ทั้ง 4 รุ่นเลยครับ คือ Hatch (F56), Convertible (F57), Clubman (F54) และ Countryman (F60) โดยทุกรุ่นนั้นมีพละกำลังเท่ากันที่ 231 แรงม้า แต่มีความแตกต่างที่ Clubman และ Countryman จะเป็นระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ALL4 นั่นเอง …. โดยรถรุ่นที่สร้างความประทับใจให้กับผมมากที่สุดในการ On Track วันนั้น ก็คือเจ้า MINI JCW Convertible นี่แหละครับ สวยกินขาด และยังขับสนุกมากๆ ชนิดที่ยังจำความประทับใจได้อย่างแม่นยำทุกโค้งในสนามเลยทีเดียว

On Road

แน่นอนว่าในสนามแข่ง เป็นเรื่องของการรีดเอาประสิทธิภาพสูงสุดของรถคันนี้ออกมา แต่ในชีวิตจริง คงไม่มีใครได้เอา MINI ลงไปขับในสนามแข่งทุกวันครับ ผมเลยได้นำ MINI John Cooper Works Convertible คันนี้มาทดสอบในชีวิตประจำวันด้วย ซึ่งก็ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ ครับ จากจุดเด่นอีกอย่างของเจ้ามินิเปิดประทุนคันนี้ นั่นก็คือ … มันสวยครับ!

ต้องยอมรับเลยว่า ความลงตัวของชุดแต่ง JCW รอบคัน กับมินิทรงเปิดประทุน และไฟท้ายลาย Union Jack ชุดนี้ มันเข้ากันอย่างมาก และเด่นสะดุดตาบนท้องถนนมากๆ ครับ แม้ว่าจะขับเปิดประทุน หรือขับในเมืองแบบปิดหลังคาไว้ก็ตาม นานแล้วที่ผมไม่ได้รับประสบการณ์มีผู้คนในลานจอดรถทักว่า “รถสวยมากครับ” แต่ MINI JCW Convertible คันนี้ กลับมาให้ประสบการณ์นี้อีกครั้ง บางวันมีคนทัก 3-4 คนเลยนะครับ จากที่ผมทดสอบมินิมาหลายโมเดล เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดาจริงๆ

ความคล่องตัวของ MINI ในรูปโฉมเปิดประทุนนี้ มีมิติตัวถังเท่ากับโฉม Hatch ทุกประการครับ มีความคล่องตัวสูง บวกกับพละกำลังที่มีพร้อมให้ใช้งานได้ตลอดเวลาที่ต้องการ จี๊ดจ๊าดมากในจังหวะเปลี่ยนเลนตามสไตล์ MINI ที่ทำให้แฟนๆ มินิหลงรักและชื่นชอบความคล่องตัวอย่างมาก พวงมาลัยเฉียบคม ที่คันนี้ให้มาอย่างครบถ้วนจริงๆ ครับ

ในมุมของความสะดวกสบาย ที่หลายคนถามหานั้น ต้องย้ำกันอีกครั้งว่า MINI ไม่ใช่รถที่จะมอบความสะดวกสบายให้ท่านได้สักเท่าไรนัก เพราะมันเป็นรถที่เน้นขับสนุก คล่องตัว และโดยเฉพาะในโมเดลของ John Cooper Works นั้นให้ฟิลลิ่งการขับขี่ที่แรงสะใจ ถึงอย่างไรก็ตาม MINI คันนี้ ก็มีอุปกรณ์ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ขับขี่มาแบบเต็มที่นะครับ ครบทั้งกล้องมองหลัง ชุดเครื่องเสียง harman/kardon ระบบแผนที่นำทาง และ หน้าจอ MINI Connected ขนาด 8.8 นิ้วรองรับ Touch Screen เป็นที่เรียบร้อย

สรุป

คงไม่เกินความจริง ถ้าผมจะบอกว่า MINI John Cooper Works Convertible โฉมล่าสุดนี้ เป็นรถ MINI ที่สมบูรณ์แบบมากที่สุดคันหนึ่ง ในไลน์อัพปัจจุบันของ MINI ครับ มันลงตัวมากๆ ทั้งรูปลักษณ์หน้าตา ที่ปรับปรุงเสริมรายละเอียดต่างๆ เพิ่มความน่ารัก แฝงด้วยความดุดันขึ้นมามาก , ความโดดเด่นของมินิที่เปิดประทุนได้ , ออพชั่นอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ครบครันมากขึ้น และ พละกำลัง ที่ให้ความสนุกกับผู้ขับขี่ได้ทั้ง On Track และ On Road

ข้อจำกัดของรถคันนี้ จากที่ผมได้ใช้งานจริงมากว่าหนึ่งสัปดาห์ ก็พบว่าเป็นเรื่องของข้อจำกัดพื้นฐานของรถเปิดประทุนหลังคาซอฟต์ท็อปนั่นแหละครับ นั่นคือเสียงรบกวนที่ได้ยินเข้ามาในห้องโดยสารค่อนข้างมาก (แต่ก็ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนเยอะแล้วนะ) , ความร้อนจากไอแดดในยามกลางวันที่ทะลุผ่านผ้าหลังคาเข้ามาจนต้องเปิดแอร์แรงขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย และ พื้นที่เก็บของด้านท้ายรถ ที่มีค่อนข้างจำกัดมาก แม้ว่า MINI จะมีฟีเจอร์ Easy Load มาช่วยในการหยิบของเข้าออกฝากระโปรงท้ายได้ง่ายกว่าเดิมแล้วก็ตามที รวมถึงที่นั่งของผู้โดยสารแถวหลัง ถูกเบียดบังจากพื้นที่พับหลังคาตอนท้ายของรถ ทำให้องศาของเบาะนั่งค่อนข้างชัน จึงทำให้ MINI Convertible อาจจะไม่ได้เหมาะสำหรับการโดยสารมากกว่า 2 ที่นั่งเท่าไรนัก

คิดรวมๆ กันแล้ว หากแฟนๆ มินิท่านไหน ที่ดูแล้วยอมรับข้อจำกัดต่างๆ เหล่านี้ได้ และกำลังมองหา MINI เปิดประทุนเท่ๆ เอาไว้ครอบครองสักคัน นี่คือคันที่สมบูรณ์แบบที่สุดแล้วตั้งแต่ MINI ได้ทำรถเปิดประทุนมาครับ

มินิ ประเทศไทย เปิดราคา MINI John Cooper Works Convertible ที่ราคา 3,468,000 บาท ราคานี้รวมแพ็กเกจ MINI Service Inclusive (MSI) Standard ครอบคลุมระยะการบำรุงรักษา 3 ปี หรือ 60,000 กม. และรับประกัน 3 ปีไม่จำกัดระยะทางแล้ว

พบกันใหม่รีวิวหน้า สวัสดีครับ

บทความโดย:
อู๋ spin9

ขอขอบคุณ:
มินิ ประเทศไทย

พาชมคันจริง MINI John Cooper Works GP Concept และกองทัพรถ MINI ในงาน Motor Expo 2018

$
0
0

เริ่มแล้ววันนี้ มหกรรมยานยนต์ส่งท้ายปลายปี Thailand International Motor Expo 2018 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน ถึง 10 ธันวาคม 2018 โดยรอบนี้ มินิ ประเทศไทย จัดเต็มด้วยการนำสุดยอดรถต้นแบบตัวแรง MINI John Cooper Works GP Concept เข้ามาจัดแสดงเป็นครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมเปิดตัว MINI Oxford Edition รถมินิรุ่นพิเศษที่นำเข้ามาจำหน่ายเป็นจำนวนจำกัดเท่านั้น

ไฮไลต์ของบูธ MINI ในงาน Motor Expo 2018 รอบนี้ คือการนำรถต้นแบบ MINI John Cooper Works GP Concept เข้ามาจัดแสดงเป็นครั้งแรกในอาเซียนครับ จัดแสดงอย่างโดดเด่นอยู่หน้าสุดของบูธมินิ ที่ปีนี้มีขนาดใหญ่โตมากขึ้นอย่างเห็นได้ขัด

MINI John Cooper Works GP Concept คันนี้ ได้เผยโฉมสู่สาธารณชนครั้งแรกในงาน IAA Frankfurt Motor Show 2017 ที่ผ่านมา และการนำเข้ามาเผยโฉมในไทยที่งาน Motor Expo 2018 นี้ ถือเป็นการเข้ามาโชว์ตัวของ MINI John Cooper Works GP Concept เป็นครั้งแรกในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งหาโอกาสมาชมตัวเป็นๆ แบบนี้ได้ยากยิ่งนัก เพราะรถต้นแบบนี้มีเพียงคันเดียวในโลกเท่านั้น

รายละเอียดของ JCW GP Concept คันนี้ ต้องบอกว่าจัดเต็มทุกจุดครับ ชุดแอโร่ไดนามิกอันดุดัน ที่แสดงให้เห็นถึงความแรง และความพิเศษของตระกูล GP ที่คาดว่า MINI จะผลิตเพื่อจำหน่ายจริงในช่วงต้นปี 2020 ที่จะถึงนี้ (เวอร์ชั่นจำหน่ายจริง จะมีหน้าตาที่แตกต่างไปจากนี้พอสมควร เพื่อให้สามารถใช้งานในชีวิตประจำวันได้) และจะผลิตในจำนวนจำกัดเช่นเดียวกับ John Cooper Works GP ในสองเจเนอเรชั่นที่ผ่านมา

นอกจากนี้ มินิ ประเทศไทย ยังทำการเปิดตัว MINI Oxford Edition มินิรุ่นพิเศษ ในโฉมตัวถัง Hatch ทั้งรุ่น 3 ประตู และ 5 ประตู คมเช้มด้วยสี Pure Burgundy และตกแต่งด้วยอุปกรณ์พิเศษรอบคัน รวมถึงมีชิ้นส่วนที่ผลิตจากเครื่องพิมพ์สามมิติ ระบุชื่อรุ่น Oxford ที่บริเวณกรอบไฟเลี้ยวด้านข้างตัวรถ โดย MINI Oxford Edition มีจำนวนจำกัดเพียง 60 คันเท่านั้น แฟนมินิคนไหนสนใจ ต้องรีบหน่อยนะครับ

ภายในบูธมินิ ยังมีรถ MINI ทุกโมเดลมาจัดแสดงครบทั้งตระกูล ไม่ว่าจะเป็น MINI John Cooper Works, MINI Hatch, MINI Countryman, MINI Clubman และ MINI Convertible หลากหลายสี หลากหลายโมเดล ให้แฟนๆ มินิได้มีโอกาสสัมผัสมินิในรูปโฉมต่างๆ ได้อย่างเต็มที่

อีกมุมหนึ่ง เป็นร้านจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์ของ MINI ที่มีการจำหน่ายในราคาพิเศษ เฉพาะในงาน Motor Expo นี้ด้วย (ลดจากราคาปกติเยอะทีเดียวล่ะครับ)

ด้านใน มีมุมสำหรับนั่งพักผ่อน และ มีอาหารว่าง กับเครื่องดื่มคอยให้บริการแฟนๆ มินิที่มาเยี่ยมชมบูธตลอดงาน Motor Expo 2018

แฟนๆ มินิ ไม่ควรพลาด แวะมาสัมผัสรถยนต์ต้นแบบ MINI John Cooper Works GP Concept หนึ่งเดียวในโลก และชม MINI ครบทั้งตระกูลในงานนี้ครับ รวมถึงใครที่สนใจออกรถ MINI ใหม่ในงาน ก็มีโปรโมชั่นขยายการรับประกัน MINI Service Inclusive (MSI) ยาวนานถึง 10 ปี ทุกรุ่น ทุกโมเดล และมีโปรโมชั่นอื่นๆ อีกมากมายแตกต่างกันไปในแต่ละรุ่นด้วยล่ะครับ

พบกันระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน ถึง 10 ธันวาคมนี้ ที่อิมแพ็ก เมืองทองธานี

สู้ฝุ่น PM 2.5 ลูกค้า MINI สามารถเปลี่ยนกรองอากาศรถยนต์ เป็นแบบ Fine Dust Filter ได้แล้ว ที่ศูนย์ฯ ทั่วประเทศ

$
0
0

MINI Thailand เปิดทางเลือกให้ลูกค้า MINI สามารถเปลี่ยนกรองอากาศรถมินิเป็นแบบละเอียด หรือ Fine Dust Filter เพื่อกรองฝุ่นระดับ PM 2.5 ได้แล้ว โดยมีราคาสำหรับรถยนต์ MINI โฉมปัจจุบันทุกรุ่น ทั้งแบบเปลี่ยนใหม่ และแบบอัพเกรดจากกรองอากาศรุ่นปกติในราคาพิเศษ

MINI ขึ้นรายละเอียดบนหน้าเว็บ เกี่ยวกับกรองอากาศแบบ Fine Dust Filter โดยลูกค้า MINI สามารถเปลี่ยนหรืออัพเกรดกรองอากาศได้ที่ศูนย์บริการ MINI ทั่วประเทศ รายละเอียดตามลิ้งก์นี้ครับ

https://www.mini.co.th/en_TH/home/explore/technology/MINI-Fine-Dust-Filter.html

สำหรับรถที่อยู่ในแพคเกจ MINI จะได้รับสิทธิประโยชน์ในการอัพเกรดเป็น MINI Fine Dust Filter MINI Fine Dust Filter ในราคาพิเศษ เมื่อถึงระยะกำหนดเปลี่ยนแผ่นกรองอากาศ รายละเอียดเพิ่มเติม โปรดติดต่อศูนย์บริการอย่างเป็นทางการของมินิ หรือ MINI Contact Center 1-401-269-269

MINI Wanderluster –บทสรุป ขับมินิเที่ยวทั่วไทย 4,843.60 กิโลเมตร มิตรภาพ ความสุข ความหลงใหล

$
0
0

2019 ปีแห่งการเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่ ของการครบรอบ 60 ปี “มินิ” รถยนต์ที่มีผู้หลงใหลทั่วโลก และมีตำนานแห่งความสำเร็จมาอย่างยาวนาน รวมถึงแฟนๆ มินิ ในประเทศไทย ที่มีพลังความรักในมินิอย่างเหนียวแน่น เกิดโปรเจคบ้าระห่ำ ‘MINI WANDERLUSTER’ รวมตัวกันขับมินิ เที่ยวทั่วไทย จากความตั้งใจ 14 วัน 3,160 กิโลเมตร แต่สุดท้ายจบลงที่ตัวเลขเกือบ 5 พันกิโลเมตร พร้อมเสียงหัวเราะ มิตรภาพ ความสุข และ ความหลงใหลอย่างเต็มเปี่ยม

โปรเจค MINI WANDERLUSTER นี้ ริเริ่มโดย มินิ ประเทศไทย ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พาแฟนๆ มินิ ขับรถเที่ยวทั่วประเทศไทย เปิดมุมมองใหม่ๆ ที่ได้แวะเที่ยวหลากหลายสถานที่ในเมืองไทย #เที่ยวไทยเท่ ที่หลายคนอาจจะไม่รู้จักมาก่อน โดยเฉพาะสถานที่เที่ยวเกิดใหม่ และจังหวัดเมืองรอง ที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น รวมถึงได้เชิญชวนแฟนๆ มินิ ร่วมทำกิจกรรมเพื่อสังคม อย่างครบรส สัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่น ผ่านทุกสภาพอากาศในประเทศไทย

ตลอดช่วงเวลา 14 วัน ที่มีการขับรถต่อเนื่องเกือบ 5 พันกิโลเมตร มีเจ้าของรถมินิที่ร่วมขบวนทั้งรถมินิคลาสสิคหลากหลายรุ่น หลากหลายสี ที่สะกดทุกสายตาบนท้องถนน ร่วมกับรถ MINI โฉมใหม่ ครบทุกโมเดล ไม่ว่าจะเป็น Hatch, Convertible, Countryman, Clubman และ John Cooper Works ร่วมขบวนกันเป็นครอบครัวใหญ่ ที่มอบมิตรภาพให้แก่กัน และให้กับทุกสถานที่ที่เหล่า Wanderluster ได้แวะเยี่ยมชมตลอดเส้นทาง

มินิ #เที่ยวไทยเท่ อันซีน เมืองรอง

ตลอดการเดินทางทั่วไทยของเหล่า MINI Wanderluster เรามีโอกาสได้แวะเยี่ยมชมสถานที่เที่ยวหลายแห่ง ที่เป็นแลนด์มาร์กของแต่ละจังหวัด และสถานที่เกิดใหม่ ที่เพิ่งได้รับความนิยม ตื่นตาตื่นใจกับเกร็ดความรู้ท้องถิ่น และความรู้ด้านประวัติศาสตร์ ที่ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากชาวพื้นเมือง และการให้ข้อมูลรอบด้านจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ที่จบทริปนี้แล้ว ตอกย้ำได้ว่า เมืองไทยน่าเที่ยว และขับรถเที่ยวได้ไม่ยากเลย

มินิ เพื่อสังคม

เที่ยวกันอย่างเดียวก็จะไม่ใช่สไตล์มินิ เพราะแม้ไม่ได้จัดกิจกรรมกันแบบนี้ ชาวมินิก็ได้รวมตัวกันทำกิจกรรมเพื่อสังคมกันเป็นระยะอยู่แล้ว แต่มาร่วมเฉลิมฉลองกันในทริป Wanderluster ร่วมกันทั้งที ก็มีการแวะทำกิจกรรมเพื่อสังคมหลากหลายจุด ไม่ว่าจะเป็นการแวะบริจาคเครื่องใช้ เสื้อผ้า และให้การสนับสนุนศูนย์การศึกษาสำหรับเด็กพิเศษ จังหวัดสุโขทัย , ห้องสมุดเด็ก สวนดอกคูณ จังหวัดขอนแก่น และโรงเรียนพิชัยศึกษา จังหวัดอุบลราชธานี รวมถึงได้เก็บขยะริมชายหาด และ ปล่อยเต่าที่ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล

นอกจากนี้ ยังได้สานต่อโครงการแคร์ ฟอร์ วอเตอร์ (Care4Water) ที่ BMW Group Thailand ได้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 ด้วยการมอบเครื่องกรองน้ำจำนวน 60 ชุด เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้คนในชุมชนมีน้ำสะอาดสำหรับอุปโภคบริโภค และได้ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการบริโภคน้ำสะอาดและการบำรุงรักษาระบบกรองน้ำให้แก่ชุมชนในระยะยาว และส่งต่อองค์ความรู้ให้กับคนอื่นๆ ในชุมชนด้วย

มินิ ครอบครัวเดียวกัน

การจะออกเดินทางหลายพันกิโลเมตรในระยะเวลาสิบกว่าวัน เปลี่ยนที่พักกันทุกคืน ต้องนับถือหัวจิตหัวใจของเจ้าของรถมินิคลาสสิค ที่ต้องตระเตรียมความพร้อมของรถมาเป็นอย่างดีเป็นพิเศษ เพราะรถบางคันก็มีอายุหลายสิบปีแล้ว มีทีมช่างและอะไหล่สำรองที่ร่วมเดินทางกันตลอดทาง ที่สำคัญคือ ครอบครัวมินิ ต่างดูแลกันอย่างอบอุ่น ส่งสัญญาณให้รอกัน ให้ความช่วยเหลือกัน และสลับรถกันขับบ้าง สร้างความประทับใจให้กับทุกๆ วันที่เดินทาง จนรู้สึกกันได้ว่า เราเป็นครอบครัวเดียวกัน เพราะใช้รถมินิเหมือนกัน

มินิ ดูแลทั่วไทย

อีกหนึ่งความตั้งใจของมินิ ประเทศไทย ในการจัดทริป MINI Wanderluster ทั่วไทยครั้งนี้ คือการไปแวะศูนย์บริการและผู้จำหน่ายมินิอย่างเป็นทางการทั่วประเทศด้วย เพื่อตอกย้ำว่า รถ MINI ได้รับการดูแลอย่างทั่วถึงทั่วไทย โดยเริ่มจาก มินิ นิธิบูรณ์ พิษณุโลก , มินิ บาร์เซโลน่า เชียงใหม่ , มินิ สกาย ออโต้เฮ้าส์ ขอนแก่น , มินิ มิลเลนเนียมออโต้ อุบลราชธานี , มินิ เยอรมันออโต้ พัทยา มินิ มิลเลนเนียมออโต้ หาดใหญ่ และ ภูเก็ต ซึ่งหลังจากที่ มินิ ประเทศไทย ได้ขยายการดูแลไปยังสาขาต่างๆ ทั่วไทยนอกเขตกรุงเทพฯ แล้ว แฟนๆ มินิ ก็สามารถเข้าถึงศูนย์บริการได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นชาวท้องถิ่นที่อยู่ละแวกใกล้เคียง หรือ แฟนๆ มินิ จากกรุงเทพฯ ที่ขับรถไปท่องเที่ยว ก็จะมั่นใจได้มากขึ้น เช่นเดียวกันในทริป Wanderluster นี้ ก็ได้รับการดูแลจากศูนย์บริการ เพื่อตรวจเช็คให้กับรถที่ร่วมขบวนด้วยเช่นกัน

มินิ 60 ปี

ปีนี้ มีความหมายอย่างยิ่ง ต่อแบรนด์มินิทั่วโลก เพราะเป็นปีที่แบรนด์มินิ เติบโตมาครบรอบ 60 ปี นับจากที่มินิคันแรกเริ่มเปิดตัวและวางจำหน่ายในปี 1959 และได้สร้างชื่อเสียงจากทั้งตำนานความสำเร็จในการชนะแรลลี มอนติ คาร์โล จนทั่วโลกต่างให้การยอมรับรถเล็ก ที่มีประสิทธิภาพสูง บวกกับความน่ารักของดีไซน์ตัวรถ ที่แม้จะมีความเล็กกะทัดรัด และสามารถใช้งานในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี

มินิ ประเทศไทย ได้เตรียมการฉลองโอกาสพิเศษนี้ อีกหลากหลายกิจกรรม โดยหลังจากนี้ จะมีกิจกรรม MINI Track Day (และ Track Night!) ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์ ที่จะเปิดโอกาสให้แฟนมินิ มารีดประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ กับ MINI John Cooper Works ทุกโมเดล ที่จะทำให้หลายคนประทับใจและประหลาดใจกับสมรรถนะของรถมินิ ที่อาจจะไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน รวมถึงช่วงปลายปีนี้ ก็จะมีการรวมตัวคนรักมินิครั้งใหญ่อีกด้วย

มินิ หลงใหล

สิ่งที่ทำให้ มินิ เป็น มินิ มาได้ถึง 60 ปี ไม่ใช่แค่ตำนานความสำเร็จของรถ แต่เป็นเพราะ ผู้ใช้มินิ ที่ต่างให้ความหลงใหลกับแบรนด์นี้อย่างหมดใจ และเิดความเข้าใจในกลุ่มคนใช้มินิด้วยกัน ที่หากใครได้ครอบครองแล้ว ก็จะได้รับพลังความหลงใหลในแบบเดียวกัน และสามารถแลกเปลี่ยนความหลงใหลให้แก่กันได้แบบไม่มีที่สิ้นสุด การรวมตัวกันทุกครั้งของชาวมินิ จึงอบอุ่น เหนียวแน่น และร่วมเดินทางกันได้ทุกครั้งไป

ทริป MINI Wanderluster ครั้งนี้ เป็นหนึ่งในบทพิสูจน์ความหลงใหล ของแฟนมินิได้เป็นอย่างดี และเราอยากส่งต่อความหลงใหลนี้ ให้กับทุกคนรอบตัวต่อไป

สุขสันต์วันเกิด มินิ 60 ปี

บทความโดย:
อู๋ spin9

ขอขอบคุณ:
มินิ ประเทศไทย
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
Esso
CPN
Superdry
มิลเลนเนียม ออโต้
เยอรมัน ออโต้
บาร์เซโลน่า มอเตอร์
สกาย ออโต้เฮ้าส์
นิธิบูรณ์

มินิ ประเทศไทย เปิดตัว MINI Convertible Sidewalk Edition – 3.06 ล้านบาท

$
0
0

มินิ ประเทศไทย เปิดตัว the new MINI Convertible Sidewalk Edition ที่โดดเด่นด้วยสีพิเศษ และอุปกรณ์ตกแต่งเฉพาะรุ่น ที่ลงตัวในรถเปิดประทุนระดับพรีเมี่ยมคันนี้ ทั้งยังคงการขับขี่แบบโกคาร์ท ที่เป็นเอกลักษณ์ของ MINI ยิ่งเสริมให้ MINI Convertible Sidewalk สะท้อนบุคลิกที่เปิดเผยความเป็นตัวตนของผู้ขับขี่ได้มากยิ่งขึ้น

MINI Convertible Sidewalk Edition มาพร้อมสีตัวถัง Deep Laguna Metallic ที่เปิดตัวครั้งแรกในรุ่นนี้ ทำให้จดจำได้ในทันทีด้วยโทนสีน้ำเงินที่โดดเด่นด้วยประกายแสงสีฟ้า ตัดกับสติ๊กเกอร์ตกแต่งฝากระโรงลายกราฟฟิก เน้นให้เห็นถึงพื้นผิวที่ทรงพลังของตัวรถ

หลังคาผ้า MINI Yours Sidewalk ป้องกันความร้อน หรือละอองฝน จากภายนอก และยังแสดงลวดลายลูกศรถักทอกัน ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวในรุ่นได้ นอกจากนี้สามารถเปิดหรือปิดหลังคาด้วยระบบไฟฟ้า โดยใช้เวลาเพียง 18 วินาทีเท่านั้น

นอกจากนี้ ตัวรถยังมาพร้อมกับล้ออัลลอยลาย MINI Yours ขนาด 18 นิ้ว พร้อมเสริมความปลอดภัยด้วยยางรันแฟต และยังเพิ่มเอกลักษณ์จากอุปกรณ์ตกแต่งเฉพาะรุ่น Sidewalk Edition ด้วย กรอบไฟเลี้ยวด้านข้างตัวรถที่มีสัญลักษณ์ “Sidewalk” ที่มีเฉพาะรุ่นเท่านั้น

ห้องโดยสารตกแต่งตามสไตล์ของ MINI ที่มาพร้อมกับเบาะหนัง MINI Yours Leather Lounge Sidewalk ระดับพรีเมี่ยม ตกแต่งด้วยแถบสีฟ้า Petrol และ เหลือง Energetic ที่ออกแบบอย่างประณีต จนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว แผงควบคุมด้านหน้าของ MINI Convertible Sidewalk ตกแต่งเป็นพิเศษด้านผู้โดยสาร ด้วยทริม Piano black สีดำ ผสมกับลวดลายสีฟ้าและสีเทา สอดรับกับการตกแต่งที่มือจับประตูที่มีลวดลายสีฟ้า Petrol เมื่อลองเปิดประตู จะพบกับกาบบันไดพิมพ์ลายกราฟฟิกรูปแบบลูกศรถัก พร้อมกับสัญลักษณ์ “Sidewalk” นอกจากนี้พวงมาลัยหนังแท้ มีโลโก้ Sidewalk ประดับอยู่ด้านล่าง และการเดินด้ายตกแต่งเพิ่มเติม ยิ่งทำให้ Sidewalk Edition มีความพิเศษมากยิ่งขึ้น

The new MINI Cooper S Convertible Sidewalk ขับเคลื่อนด้วยเบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร พร้อมเทคโนโลยี MINI TwinPower Turbo ที่มอบกำลังสูงสุดถึง 141 กิโลวัตต์/192 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร ที่ 1,350-4,600 รอบต่อนาที เช่นเดียวกับในรุ่นมินิ คูเปอร์ เอส และทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติแบบคลัทช์คู่ Steptronic 7 จังหวะ ทำให้การเปลี่ยนเกียร์ได้ราบรื่น ตอบสนองได้ทันใจ

MINI Cooper S Convertible Sidewalk มีจำกัดจำนวน 18 คันเท่านั้น เปิดราคาจำหน่าย 3,060,000 บาท (ราคารวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และโปรแกรมบำรุงรักษา MSI Standard แล้ว)


พาชม 3 ไฮไลต์ MINI รุ่นพิเศษ ที่งานมอเตอร์โชว์ 2020

$
0
0

เริ่มขึ้นแล้วนะครับ กับงาน Bangkok International Motor Show 2020 ที่ถูกเลื่อนการจัดงานมาเป็นเดือนกรกฎาคมในปีนี้จากสถานการณ์ COVID-19 โดยปีนี้ มินิ ประเทศไทย ได้ขนทัพเอามินิรุ่นพิเศษ มาจัดแสดง 3 รุ่นหลักๆ ด้วยกัน

MINI Cooper SE
ราคา: 2,290,000 บาท (รวมโปรแกรมบำรุงรักษา MSI Standard)

มินิพลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรกของแบรนด์ ที่ BMW Group ได้พัฒนาขึ้น ที่ได้เปิดตัวครั้งแรกในไทยไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และประสบความสำเร็จในการเปิดจอง ด้วยจำนวนจำกัดของปีนี้เพียง 25 คัน และมีลูกค้าชาวไทยจับจองหมดเกลี้ยงภายใน 1 นาทีแรกหลังจากเปิดให้จองผ่านช่องทางออนไลน์ ตอนนี้ MINI Cooper SE ได้เริ่มส่งมอบแล้ว และมีคันจริงมาโชว์ในงานมอเตอร์โชว์ครั้งนี้ด้วย แม้จะไม่มีโควตาเหลือสำหรับลูกค้าใหม่ที่อยากได้ในปีนี้แล้วก็ตาม

MINI Cooper SE สามารถส่งพละกำลังสูงสุด 135 กิโลวัตต์ หรือเทียบเท่า 184 แรงม้า ให้แรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตรได้ทันทีที่เท้าแตะคันเร่งแม้จากรถหยุดนิ่ง ส่งความเร็วจาก 0 ถึง 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 3.9 วินาที มอบความแรงเร้าใจใน 60 เมตรแรกได้เทียบชั้นรถสปอร์ตแบตเตอรี่แรงดันสูงที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาสำหรับ MINI Cooper SE โดยเฉพาะ มอบพลังงานสำหรับการขับขี่เป็นระยะทางสูงสุดราว 217 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC) โดยตัวแบตเตอรี่ประกอบด้วยเซลล์แบตเตอรี่ Li-ion จำนวน 12 โมดูล ติดตั้งในรูปทรงตัว T บริเวณใต้รถ จุพลังงานไฟฟ้ารวม 32.6 kWh ตำแหน่งที่ตั้งของแบตเตอรี่แรงดันสูงบริเวณใต้ท้องรถ ระหว่างเบาะนั่งด้านหน้าไปจนถึงบริเวณใต้เบาะหลัง ทำให้ MINI Cooper SE มีพื้นที่ในการเก็บสัมภาระมากกว่ารุ่นอื่น ๆ และเพื่อเป็นการสร้างระยะห่างจากแบตเตอรี่ใต้ท้องรถและพื้นถนน MINI Cooper SE จึงได้รับการออกแบบให้สูงกว่ามินิรุ่นอื่น ๆ 18 มิลลิเมตร

MINI Cooper SE ติดตั้งระบบการจำลองเสียงเพื่อเตือนคนเดินถนน ซึ่งเป็นเสียงเฉพาะสำหรับรุ่น MINI Cooper SE เท่านั้น โดยจำลองเสียงผ่านทางระบบลำโพงสำหรับขณะขับขี่ที่ความเร็วต่ำ โดยทุกชิ้นส่วนของระบบการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า จะได้รับการปกป้องด้วยโครงสร้างที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ และจะหยุดการทำงานทั้งหมดทันทีหากเกิดการชน

MINI Cooper SE ยังมาพร้อมระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ (DSC) ที่เสริมความสนุกสนานขณะโลดแล่นบนท้องถนนได้อย่างเร้าใจยิ่งขึ้น โดยไม่สูญเสียประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนน และรองรับการตั้งค่าต่าง ๆ ตามสภาวะการขับขี่และรูปแบบการขับขี่ที่เฉพาะตัวของแต่ละบุคคล โดยมาพร้อมโหมดการขับขี่ 4 รูปแบบ ได้แก่ Sport, MID, GREEN, และ GREEN+ อีกหนึ่งเอกลักษณ์อันโดดเด่นของเทคโนโลยีการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป คือการนำพลังงานจากการเบรกกลับมาใช้ใหม่ (regenerative brake) ที่ทำให้รถชะลอความเร็วทันทีที่ผู้ขับยกเท้าออกจากคันเร่ง จึงลดความเร็วได้ขณะขับขี่ที่ความเร็วต่ำโดยไม่ต้องแตะเบรก ทำให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมความเร็วได้โดยใช้เพียงคันเร่งเท่านั้น

แบตเตอรี่แรงดันสูงสามารถรองรับสายชาร์จทั้งแบบมาตรฐานและสายชาร์จจาก MINI ELECTRIC Wallbox ที่รองรับกำลังไฟได้สูงสุด 11 กิโลวัตต์ ชาร์จถึง 80 เปอร์เซ็นต์ภายใน 2.5 ชั่วโมง และชาร์จเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ภายใน 3.5 ชั่วโมง และหากชาร์จจากสถานีที่เป็นหัวชาร์จแบบ DC fast-charging จะช่วยให้สำรองพลังงานได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่ง MINI Cooper SE ได้รับการออกแบบมาให้รองรับพลังงานในการชาร์จได้สูงสุด 50 กิโลวัตต์ ชาร์จได้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ภายในเพียง 36 นาที โดยรองรับหัวชาร์จทั้ง AC และ DC แบบ Type 2 และหัวชาร์จ CCS Combo 2 ซึ่งจะมีไฟบอกสถานะการชาร์จปรากฎอยู่เหนือเต้าเสียบใน 3 สถานะด้วยกัน ได้แก่ ไฟสีส้มขณะเริ่มชาร์จ ไฟกระพริบสีเหลืองระหว่างการชาร์จ และไฟสีเขียวเมื่อชาร์จเต็ม

ภายในห้องโดยสารมาพร้อมเบาะผ้าสีดำ Carbon Black ลาย Double Stripe หัวเกียร์ในดีไซน์เฉพาะสำหรับรุ่น MINI Cooper SE ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 2 โซน แยกการระบายอากาศและการควบคุมอุณหภูมิระหว่างผู้ขับและผู้โดยสาร แผงหน้าปัดมาในดีไซน์เฉพาะรุ่นเช่นเดียวกัน โดดเด่นด้วยจอแสดงผลสีดิจิทัลขนาด 5.5 นิ้ว ในดีไซน์ Black Panel ด้านหลังพวงมาลัย โดยอัตราความเร็วในการขับขี่จะแสดงผลทั้งในแบบตัวเลขและแถบทรงกลมอยู่บริเวณกลางจอ ส่วนด้านข้างเป็นการแสดงข้อมูลในรูปแบบดิจิทัลเกี่ยวกับระดับพลังงานของแบตเตอรี่แรงดันสูง โหมดการขับขี่ สถานะของระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ และสัญญาณแสดงสถานะการทำงานของระบบต่าง ๆ รวมทั้งเวลาที่ใช้ในการชาร์จแบตเตอรี่ สำหรับจอระบบสัมผัสขนาด 8.8 นิ้วบริเวณแผงคอนโซล รองรับการแสดงผลจากบริการ MINI Connected ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าโดยเฉพาะ เช่น จอ eDrive ที่แสดงข้อมูลเกี่ยวกับการใช้พลังงานและระยะทางที่วิ่งได้ รวมถึงทางเลือกต่าง ๆ ในการเพิ่มระยะทางในการขับขี่

ดีไซน์ภายนอกมาพร้อมเส้นสายการออกแบบที่โดดเด่นและชัดเจน สะท้อนถึงเทคโนโลยีการขับขี่แห่งอนาคตที่ล้ำสมัย ส่วนฝาครอบที่ชาร์จไฟฟ้าอยู่เหนือล้อหลังด้านขวา ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับฝาถังน้ำมันของมินิ 3 ประตู บนฝาแสดงสัญลักษณ์ MINI Electric เพื่อสร้างความแตกต่างระหว่างการใช้เชื้อเพลิงน้ำมันและการใช้พลังงานไฟฟ้า สัญลักษณ์นี้ยังปรากฏบริเวณกรอบไฟเลี้ยวด้านข้าง ประตูท้ายรถ และกระจังหน้า ซึ่งสะดุดตาด้วยแถบสีเหลืองรับกับฝาครอบกระจกข้างในสีเดียวกัน สร้างความโดดเด่นเฉพาะตัวให้แก่ MINI Cooper SE ซึ่งมาพร้อมไฟหน้า LED เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน นอกจากนี้ ยังเสริมประสิทธิภาพด้านอากาศพลศาสตร์ด้วยล้ออัลลอยน้ำหนักเบาขนาด 17 นิ้ว ลาย MINI Electric Power Spoke พร้อมยางรันแฟลตที่มีเป็นพิเศษเฉพาะในรุ่น MINI Cooper SE เท่านั้น

MINI Rosewood Edition (Hatch 3 ประตู)
ราคา: 2,850,000 บาท (รวมโปรแกรมบำรุงรักษา MSI Standard)

MINI Rosewood Edition (Hatch 5 ประตู)
ราคา: 2,890,000 บาท (รวมโปรแกรมบำรุงรักษา MSI Standard)

MINI Rosewood Edition จำกัดจำนวนจำหน่ายในประเทศไทยจำกัดเพียง 30 คัน มาพร้อมสีแดง Indian Summer Red ที่มีเฉพาะในรุ่นพิเศษนี้ ด้วยงานออกแบบภายนอกที่สะกดทุกสายตาด้วยหลังคา เส้นสายบนฝากระโปรงรถ และกระจกมองข้างสีดำ ที่ตัดกับตัวถังสีแดงเมทัลลิกให้ตัวรถโดดเด่นยิ่งขึ้น นอกจากนี้ MINI รุ่นลิมิเต็ดนี้ยังมาพร้อมไฟท้าย LED ลายธง Union Jack , กล้องแสดงภาพด้านหลัง , กระจกมองข้างปรับไฟฟ้า และล้อขนาด 17 นิ้วในลาย Rail Spoke 2-Tone พร้อมยางรันแฟลต , การตกแต่งภายในโดดเด่นด้วยดีไซน์พิเศษอย่างเบาะหนัง MINI Yours Leather Lounge ในสีดำ Carbon Black ชุดตกแต่ง MINI Yours Interior สีดำ Piano Black illuminated ที่พักแขนด้านหน้า เพดานหลังคาภายในสี Anthracite เบาะนั่งดีไซน์ Sport และระบบปุ่มควบคุมเกียร์แบบไฟฟ้า

MINI Rosewood Edition ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังเบนซิน 4 สูบ ให้พละกำลังสูงสุด 141 กิโลวัตต์ / 192 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตรที่ 1,350 – 4,600 รอบต่อนาที ทำงานคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Steptronic คลัทช์คู่ 7 จังหวะ ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 235 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลา 6.7 วินาทีสำหรับ MINI Rosewood Edition แฮทช์ 3 ประตู และ 6.8 วินาทีสำหรับ MINI Rosewood Edition แฮทช์ 5 ประตู ส่วนเทคโนโลยีการขับขี่และระบบความปลอดภัยก็มากันครบครัน ไม่ว่าจะเป็นถุงลมนิรภัยด้านหน้าและด้านข้าง ระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ ระบบควบคุมการยึดเกาะถนนพร้อมระบบล็อกเฟืองท้ายควบคุมด้วยไฟฟ้า ระบบควบคุมความเร็วคงที่พร้อมฟังก์ชั่นช่วยลดความเร็ว และระบบช่วงล่างแบบ adaptive มอบความสะดวกสบายให้แก่ผู้ขับขี่ในทุกเส้นทาง

MINI Convertible Sidewalk Edition
ราคา: 3,060,000 บาท (รวมโปรแกรมบำรุงรักษา MSI Standard)

MINI Convertible Sidewalk Edition ผสมผสานเอกลักษณ์อันโดดเด่นและกลิ่นอายแห่งความร่วมสมัยเพื่อรังสรรค์ความแตกต่างแห่งสุนทรียะที่สะกดทุกสายตา สีฟ้าเมทัลลิก Deep Laguna แต่งแต้มตัวถังให้สะดุดตา เสริมบุคลิกให้โดดเด่นยิ่งขึ้นด้วยหลังคาผ้าสี Anthracite การตกแต่งภายนอกมาพร้อมกับลวดลายเรขาคณิตแบบสะท้อนแสงชวนมอง ส่งให้เส้นสายบนฝากระโปรงรถลาย Specific พร้อมเส้น Pin lines และส่วนประกอบอื่น ๆ ให้โดดเด่นยิ่งขึ้น ทั้งยังเสริมบุคลิกเฉพาะไม่ซ้ำใครด้วยแถบสัญลักษณ์ ‘SIDEWALK’ บริเวณกรอบไฟเลี้ยวด้านข้างและแถบทางเข้าประตูรถ ส่งให้รถยนต์มินิรุ่นพิเศษนี้แตกต่างไม่เหมือนใครขึ้นอีกขั้น

MINI Convertible Sidewalk Edition สะดุดตาด้วยล้อรถลาย MINI Yours British Spoke 2-Tone ขนาด 18 นิ้ว มาพร้อมกับยางรันแฟลต ด้านหลังคาไฟฟ้าอัจฉริยะปรับพับได้อย่างเงียบเชียบด้วยระบบ Z-folding ได้ถึง 3 แบบ: ขึ้น ลง หรือโหมดหลังคามินิซันรูฟเพื่อรับลมเข้าสู่ห้องผู้โดยสาร โดยสามารถเปิดปิดหลังคาได้อย่างสมบูรณ์ภายในเวลาเพียง 18 วินาทีเท่านั้น แม้ในขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูงสุดที่ 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนวัสดุผ้าของหลังคารถแบบอ่อนโดดเด่นด้วยดีไซน์พิเศษที่ถักทอเป็นลวดลายเรขาคณิต เติมเต็มที่สุดแห่งการขับขี่สู่จุดหมายได้อย่างไร้ที่ติ

MINI Convertible Sidewalk Edition มอบความแรงจากขุมพลังเบนซิน 4 สูบ ที่ให้พละกำลังสูงสุด 141 กิโลวัตต์ / 192 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตรที่ 1,350 – 4,600 รอบต่อนาที ทำงานคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Steptronic คลัทช์คู่ 7 จังหวะ พร้อมทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียง 7.1 วินาที ทั้งยังมาพร้อมหลากหลายเทคโนโลยีการขับขี่และระบบความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นช่วงล่างแบบ Adaptive กล้องแสดงภาพด้านหลัง ไฟท้าย LED ลายธงยูเนียนแจ็ค พร้อมฟังก์ชั่นอำนวยความสะดวกอีกมากมาย รวมถึงระบบเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน Apple CarPlay และแท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย

ข้อเสนอพิเศษในงาน Bangkok International Motor Show ครั้งที่ 41

สำหรับลูกค้ามินิที่ทำการจองรถยนต์ภายในงาน และรับส่งมอบรถยนต์ภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2563 จะได้รับสิทธิประโยชน์ ดังนี้

  • การยกระดับ MSI Standard เป็น 7 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร สำหรับมินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ ทุกรุ่น
  • สำหรับลูกค้าที่จองรถยนต์มินิทุกรุ่น ยกเว้น MINI Cooper S Couintryman Entry, MINI John Cooper Works GP และ MINI Cooper SE รับฟรี MINI Advanced Car Eye ระบบกล้องติดรถยนต์คุณภาพสูง มูลค่า 25,700 บาท*

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

MINI เปิดตัว MINI รุ่นปรับโฉมใหม่ (2nd LCI) สดใหม่ขึ้น ทั้ง F56, F55 และ F57

$
0
0

MINI ประกาศเปิดตัว MINI 3-door, MINI 5-door และ MINI Convertible รุ่นปรับโฉมใหม่ ซึ่งถือเป็นการปรับโฉมครั้งที่สอง ของตัวถัง F56, F55 และ F57 ให้สปอร์ตมากขึ้น สดใหม่มากขึ้น และเพิ่มสีตัวถังใหม่อีก 3 สี

สิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นในการปรับโฉมครั้งนี้ ประกอบไปด้วย

•       ปรับปรุงดีไซน์กระจังหน้าใหม่ รูปทรงหกเหลี่ยมที่ชัดเจนขึ้น
•       ไฟหน้า LED เป็นมาตรฐานสำหรับทุกรุ่น
•       ปรับดีไซน์ของ Side Scuttle ใหม่
•       ไฟท้าย LED ลาย Union Jack เป็นมาตรฐานสำหรับทุกรุ่น
•       ครั้งแรกของตัวเลือกหลังคาไล่เฉดสี Multitone Roof
•       เพิ่มสีตัวถังใหม่ 3 สี คือ Rooftop Grey, Island Blue และ Zesty Yellow รวมถึงเพิ่มล้อลายใหม่
•       ปรับปรุงดีไซน์ของคอนโซลภายในรถใหม่
•       พวงมาลัยทรงใหม่
•       หน้าปัดดิจิทัลหลังพวงมาลัย ขนาด 5 นิ้ว (เช่นเดียวกับ MINI JCW GP และ MINI Electric)
•       หน้าจอกึ่งกลางรถ ขนาด 8.8 นิ้ว ที่ปรับปรุงอินเทอร์เฟซใหม่ เป็นมาตรฐานสำหรับทุกรุ่น
•       เบาะหนังสปอร์ตลวดลายใหม่
•       เพิ่มตัวเลือกของไฟ Ambient ให้มากขึ้น
•       ช่วงล่าง Adaptive ที่สามารถปรับออปชั่นได้
•       เพิ่มตัวเลือกของเบรกมือไฟฟ้า
•       Active Cruise Control รองรับ Stop & Go
•       เพิ่มตัวเลือกฟีเจอร์ lane departure warning และปรับไฟตัดหมอกหน้าให้รวมกับชุดไฟหน้าหลัก ใช้ชื่อว่า Bad Weather Light
•       ตัดขอบภายนอกด้วย Piano Black Exterior ดุดันมากขึ้น รวมถึงโลโก้ MINI เป็นสีดำ
•       เพิ่มอุปกรณ์ตกแต่งรอบคัน ให้สามารถเลือกตกแต่งได้เพิ่มเติม

MINI รุ่นปรับโฉมใหม่ ถูกปรับเข้ากับตัวถัง MINI 3-door (F56), MINI 5-door (F55) และ MINI Convertible (F57) ทุกรุ่นเครื่องยนต์ รวมถึง MINI Cooper SE ที่เป็นพลังงานไฟฟ้าด้วย คาดว่าจะเริ่มทำการผลิตในปีนี้ ส่วนกำหนดเข้าไทย ยังไม่มีข้อมูล ณ เวลานี้ ต้องรอติดตามจากมินิ ประเทศไทยกันอีกครั้งครับ

Viewing all 37 articles
Browse latest View live